นานมาแล้วที่หนังเรื่องนี้ฉายในบ้านเรา ถึงจะเป็นเพียงไม่กี่โรง แต่ผมเองก็มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้ ซึ่งตอนนี้เองผมคิดว่าเราสามารถหาดูได้อยู่ แต่อาจจะหาดูยากสักนิด เหตุที่อยากดูมาก เพราะว่าเป็นหนังที่มีนักแสดงที่ชื่นชอบด้วยกันถึงสองคน คนแรกคือแม่มดน้อย Hermione อย่าง Emma Watson กับอีกหนึ่งคนที่เคยเป็นบุตรแห่งโพไซดอนอย่าง Logan Lerman ทั้งสองได้มาอยู่ในหนังเรื่องเดียวกัน ซึ่งเป็นหนังที่เรียกว่า หนัง Coming of Age หรือเป็นหนังที่จะกล่าวถึงการผ่านพ้น หรือเปลี่ยนผ่านช่วงวัย อย่างเช่นหนังเรื่องนี้ ที่ตัวเอกของเราจะต้องผ่านพ้นเหตุการณ์สำคัญบางอย่างในชีวิตเพื่อที่จะเติบโตขึ้น ในหนังเรื่อง The Perks of Being a Wallflower

The Perks of Being a Wallflower เป็นหนังที่ถูกดัดแปลงมาจากนิยายที่ใช้ชื่อเดียวกันนี้เอง ผู้แต่งคือ Stephen Chbosky ซึ่งเขาเองเป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้ด้วย เรื่องราวว่าด้วยเรื่องของ Charlie (รับบทโดย Logan Lerman) เด็กหนุ่มเก็บตัวอายุ 15 ปี ที่ภาวนาขอให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากช่วงหนึ่งในชีวิตให้ได้ คือช่วงมัธยมปลาย เขาเลือกที่จะอยู่เงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใคร จนในที่สุดคนสองคนก็เข้ามาในชีวิตของ Charlie คนแรกคือ Sam (รับบทโดย Emma Watson) และ Patrick (รับบทโดย Ezra Miller) ทั้งสองชักชวนเด็กเก็บตัวอย่าง Charlie เข้ามาในชีวิต ให้เขาได้เป็นเพื่อน Charlie ได้รู้จักกับชีวิตมัธยมปลาย ซึ่งดูเหมือนมันจะไม่ได้แย่และน่ากลัวอย่างที่เขาคิด ทั้งสองสอนให้เขาได้รู้จักมิตรภาพ ความรัก พาไปปาร์ตี้ และทำความรู้จักคนใหม่ ๆ แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้น Charlie มีปมปัญหาอยู่ในใจ ก่อนหน้านี้ การที่เพื่อนสนิทของเขาฆ่าตัวตายไป และอาการป่วยที่อยู่ในหัวของเขาทำให้เรื่องนี้เป็นอุปสรรค ต่อการมีความสุขของ Charlie

หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกของ Charlie อย่างชัดเจน มันช่างหมองหม่นและน่าเศร้า แต่ในทางกลับกันมันก็มีความหวังเล็ก ๆ เจือปนอยู่ด้วย แต่ละตัวละครมีปมปัญหาเป็นของตนเองทั้งนั้น ทำให้เราผู้ชม ต้องคอยเรียนรู้ และทำความเข้าใจตัวละครค่อนข้างมาก แต่นั่นเองทำให้เรามีอารมณ์ร่วม และได้รับสิ่งที่ตัวละครแต่ละตัวมอบให้มากมายนัก ด้วยความที่ตัวผู้กำกับหนังเรื่องนี้อย่าง Stephen Chbosky เป็นทั้งต้นฉบับนิยายเอง และเป็นผู้กำกับเอง ดังนั้นไม่ต้องห่วงเลยในการถ่ายทอดเรื่องราว หรือแม้แต่อารมณ์ และรายละเอียดเล็กน้อยในหนังเรื่องนี้

หนังเรื่องนี้นอกจากเนื้อเรื่องดีแล้ว นักแสดงแต่ละคนก็ดีด้วย อย่างตัว Sam ที่รับบทโดย Emma Watson ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราเพิ่งได้เห็นเธอเล่นบทวัยรุ่น นอกเหนือจากบท Hermione จากเรื่อง Harry Potter นับว่าเป็นเรื่องแรก ๆ เลย ซึ่งตัวผมเองมองว่าเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับเธอ แต่กลับทำออกมาได้ดีเลย อีกคนที่ผมชอบเป็นการส่วนตัว สำหรับผมแล้วเรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ทำให้เราได้รู้จักเขา นั่นคือ Ezra Miller ในบท Patrick แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเคยมีบทสำคัญในหนังเรื่อง We Need to Talk About Kevin มาก่อนแล้ว ส่วนตัวผมเองรู้จักเขาจากหนังเรื่องนี้ และติดตามผลงานมาจนถึงปัจจุบัน

มีประโยคหนึ่งจากหนังเรื่องนี้ ที่ผมคิดว่าเป็นประโยคที่ดี นั่นคือประโยคที่ครูของ Charlie หรือ Mr. Anderson (รับบทโดย Paul Rudd) ได้บอกกับเขาว่า “We accept the love we think we deserve” แปลเป็นไทยว่า “เรายอมรับความรักที่เราคิดว่าคู่ควร” ซึ่งตัวละครทั้งหมดในเรื่องนี้ก็เป็นแบบนั้น ยอมรับคนที่พวกเขาคิดว่าเหมาะสม หรือคู่ควรกับตนมาไว้ในชีวิต ในบางครั้งมันอาจจะผิดที่ หรือผิดเวลา แย่สุดอาจผิดคนเสียด้วยซ้ำ แต่ท้ายที่สุด หากเราคิดว่าคู่ควร เราจะรับมันมาอยู่ดี ในบางครั้งเราอาจลืมมองไปว่า เราเองนี่แหละ ที่คู่ควรกับความรักที่อาจจะดีกว่านี้ก็ได้ ในหลายครั้ง ไม่ใช่แค่ตัวละครในหนังที่เลือกทำแบบนั้น เพราะแม้แต่ตัวเราเอง ก็ยังเลือกทำแบบนั้นเลย แต่ก็ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าเราจะเลือกแบบไหน ยอมรับความรักแบบไหนมา หากดีแล้วมันก็ดีไป แต่หากร้าย ให้ยอมรับว่าเราไม่คู่ควรกับสิ่งร้าย ๆ นี้ เพราะเราเองคู่ควรกับสิ่งที่ดีกว่านั้น

แม้แต่ไม้ประดับที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ ท้ายที่สุดแล้วก็ยังต้องการความรักอยู่ดี เพราะความรักเติมเต็มดอกไม้นั้น ทำให้ดอกไม้ประดับสีซูบซีด อาจกลายเป็นดอกไม้ที่ดูสดใสขึ้นบ้างก็ได้ อันที่จริงหนังเรื่องนี้มีดีกว่าที่ผมบอกไว้อยู่มาก อาจจะหาดูกันยากสักนิด แต่อยากให้ไปหาดูกันครับ รับรองว่าคุณจะทั้งมีความสุข และความเศร้าไปพร้อมกัน หากกำลังอยู่ในวัยที่รู้สึกว่าหลงทาง หรืออยากให้มันผ่านไปให้เร็วที่สุด อยากให้ลองดูหนังเรื่องนี้ครับ แล้วคุณจะพบว่า มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ถึงยังไงก็แล้วแต่ มันจะผ่านพ้นไป เราจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้น สิ่งที่แต่ก่อนเราไม่เคยเข้าใจมัน มากขึ้น อาจทำให้คุณมีความสุขขึ้นมาได้บ้าง