ช่วงหลายปีมานี้ เป็นช่วงที่บริการสตรีมมิงแข่งขันกันอย่างดุเดือด ยิ่งในช่วงนี้ ที่ผู้คนอยู่บ้าน และเสพสื่อกันเยอะมาก ๆ นั่นทำให้แต่ละบริการสตรีมมิงก็ต้องปั้นหนังหรือซีรี่ส์ของตนเองออกมาเรื่อย ๆ วันนี้หนังที่ผมจะพูดถึง ไม่ใช่ Original Content เสียทีเดียว แต่เป็น Exclusive Content ของบริการสตรีมมิง Amazon Prime ที่ไม่ได้หยิบยกมารีวิวสักเท่าไหร่นัก (เพราะไม่ค่อยได้ดู) แต่วันนี้ของยกหนังเรื่องใหม่ล่าสุดของเขามาคุยกันครับ นั่นคือ The Tomorrow War

The Tomorrow War ว่าด้วยเรื่องของเหตุการณ์ประหลาดหยุดโลก เมื่อกลุ่มทหารนักเดินทางข้ามเวลามาปรากฏตัวต่อหน้าคนทั้งโลก และได้บอกว่า พวกเขาเดินทางมาจากปี 2051 เพื่อส่งสารให้กับคนในยุคนี้ ข้อความว่า ในอีก 30 ปี มนุษยชาติจะต้องเผชิญกับศึกสงครามครั้งใหญ่ที่สุด จนเกือบจะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ แต่สงครามครั้งนี้ไม่ใช่สงครามที่มนุษย์ห้ำหั่นกันเอง แต่เป็นสงครามกับมนุษย์ต่างดาว ที่หมายจะฆ่าล้างบางมนุษย์ให้สิ้น ความหวังสุดท้ายของเหล่ามนุษยชาติ คือการเกณฑ์คน ทั้งทหารและพลเรือนจากยุคปัจจุบัน เพื่อเดินทางไปในอนาคตและร่วมต่อสู้ในสงครามครั้งใหญ่ครั้งนี้ หนึ่งในบรรดาผู้ได้รับเลือกคือ Dan Forester (รับบทโดย Chris Pratt) ผู้เป็นทั้งครูสอนมัธยม และเป็นพ่อของหนูน้อย Muri Forester (รับบทโดย Ryan Kiera Armstrong) Dan จำต้องกอบกู้โลกทั้งใบ และโลกของลูกสาวของเขาไม่ให้เป็นไปอย่างในอนาคต เขาต้องร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์ผู้เก่งกาจ (รับบทโดย Yvonne Strahovski) และขอความช่วยเหลือจากพ่อผู้ห่างเหิน (รับบทโดย J.K. Simmons) ในภารกิจที่ยาก เพื่อเขียนชะตากรรมของคนทั้งโลกขึ้นมาใหม่

ผมนั่งดูไปสักพัก ก็ตระหนักได้ว่า The Tomorrow War คือหนัง Sci-Fi ขนานแท้เลย ดังนั้นผมจึงใช้กรอบของหนัง Sci-Fi ดูเรื่องนี้ มัน Sci-Fi จริง ๆ สนุกและลุ้นระทึก ตามสไตล์ของหนังแนวนี้ หนังเรื่องนี้มีความยาวอยู่ที่ 2 ชั่วโมงนิด ๆ นั่นยาวมากสำหรับหนังหนึ่งเรื่อง The Tomorrow War เอาอยู่ครับ มีการแบ่งพาร์ทของหนังอย่างชัดเจน เนื่องจากหนังนาน ดังนั้นเรื่องราวของหนังเรื่องนี้จึงมีค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว ส่วนตัวผมชอบเลยครับ มันลุ้นระทึก ถึงจะไม่ได้ขนาดหยุดหายใจ แต่ก็เป็นอะไรที่เยี่ยมยอดครับ เขาบอกกันว่า จุดเด่นของ The Tomorrow War นี้ อยู่ที่งานภาพและงานเสียง การเนรมิตรโลกอนาคตที่ล่มสลาย เปรียบเหมือนอยู่ในภาวะสงคราม เอามารวมกับแนว Post-Apocalyptic ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม เสียงก็เช่นกัน เสียดายมากที่เราไม่มีโอกาสได้ดูกันในโรงหนัง ไม่อย่างนั้นน่าจะดีกว่านี้อยู่มาก

ในส่วนของเนื้อเรื่อง The Tomorrow War โดนคนด่าเยอะพอสมควรครับ จากที่ผมดูความคิดเห็นจากในเน็ต ไม่ว่าจะเป็นจาก Rotten Tomatoes หรือจาก IMDB ก็ดี บ้างก็ว่ามีดีแค่งาน CG หรืองานเสียง หากไม่ดูในโรงก็จบ บ้างก็ว่าตัวละครตื้นไป แต่สำหรับผมแล้ว อย่างที่บอกว่า ผมใช้กรอบของหนัง Sci-Fi บวกกับความ Thriller หน่อย ๆ ถ้าเนื้อเรื่องไม่แย่ถึงขนาดทนดูไม่ได้ ก็โอเคครับ ไอเดียที่ว่า ให้คนในอดีตไปสู้ในสงครามอนาคตอะไรแบบนั้นเป็นไอเดียที่ผมซื้อครับ (แต่ถ้าเล่นประเด็นการเมืองหน่อยท่าจะดี) เนื้อเรื่องผมมองว่าอาจจะไม่ได้ลงลึก บางตัวละครก็มีบทน้อยจนไม่รู้ว่าเอามาทำไม หรือเอามาแค่จะมีบทในตอนองก์สุดท้าย สำหรับผมไม่มีปัญหาครับ คิดว่าสามารถรับได้ ที่ชอบที่สุด ก็คงเป็นสถานการณ์วิกฤติ ที่ดูยังไงก็แพ้อะไรแบบนั้น (บอกมากไม่ได้ เดี๋ยวจะเป็นการ Spoil) หรือจุดหักมุมบางอย่าง มันตื้นไป แต่ไม่ใช่ปัญหาครับ ก็เป็นไปตามธรรมเนียมของหนังแนวนี้

นอกเหนือจากความแอ็กชันสนุก ๆ หรือความแปลกใหม่ที่ได้ หากจะหาอะไรจาก The Tomorrow War น่าจะเป็นเรื่องของครอบครัวล่ะมั้ง ก็มีดรามานิดหน่อย หนังทุกเรื่องก็ต้องมี ทุกคนมีเหตุผลของการจากลา ทุกคนเคยทำไม่ดี หรือผิดพลาดกับใครบางคนไว้ แต่การให้อภัย หรือให้โอกาสที่สอง นั่นเป็นข้อพิสูจน์ ว่าเรายังคงมีกันและกัน และเมื่อโอกาสที่สองมาถึง จงทำให้ดีที่สุด เพราะต่อไปอาจไม่มีแล้วก็ได้

สรุปโดยรวมแล้ว The Tomorrow War เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ผมเชียร์ให้ดูครับ เพราะผมเองชอบ ถึงจะสวนทางกับความเห็นชาวเน็ตก็ตาม ไม่ว่าอย่างไรอยากให้ลองหาดูกันเองครับ เพราะแต่ละคนชอบไม่ชอบไม่เหมือนกัน ยังไงก็ทาง Amazon Prime ที่เราไม่ได้พูดถึงกันสักเท่าไหร่ แต่งานหนังหรือซีรี่ส์ของเขาดีนะครับ อย่าง The Boys ที่เป็นซีรี่ส์ซูเปอร์ฮีโรของเขา หรือมีอีกหลาย ๆ เรื่องให้ลองดูเลย ไม่ค่อยถูกพูดถึงนักกับ Amazon Prime แต่ดีนะครับ อย่าลืม The Tomorrow War ทางสตรีมมิง Amazon Prime