(คำเตือน : บทความนี้เต็มไปด้วยสปอยล์และการวิเคราะห์เรื่อง Jujutsu Kaisen ที่เกิดขึ้นจากความคิดเห็นส่วนตัวอาจจะตรงหรือไม่ตรงกับสิ่งที่ผู้สร้างต้องการจะสื่อก็ได้)

รวมประโยคเด็ดชวนคิดจาก มหาเวทย์ผนึกมาร

“มหาเวทย์ผนึกมาร” Jujutsu Kaisen เป็นอนิเมะที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2020 ซึ่งซ่อนประโยคที่ชวนให้คิดไว้อย่างมากมาย ในวันนี้เราจึงจะมาลองวิเคราะห์และทำความเข้าใจกับสิ่งที่ตัวละครนั้น ๆ ต้องการจะสื่อ

1. ว่าด้วยเรื่องการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของนานาม

“คุณผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาแล้วหลายครั้ง แต่แค่นั้นไม่ได้แปลว่าคุณเป็นผู้ใหญ่แล้ว เส้นผมที่ร่วงบนพื้น ขนมปังที่ชอบหายไปจากร้านสะดวกซื้อ การสะสมความผิดหวังเล็ก ๆ ในชีวิตเหล่านี้ต่างหาก ที่ทำให้คนเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่”

ในตอนที่ 9 นานามิกับฮิตาโดริได้เดินทางไปเพื่อสำรวจความผิดปกติที่โรงภาพยนตร์ ขณะที่ฮิตาโดริต่อสู้กับวิญญาณต้องสาปอยู่ นานามิก็บอกว่าถ้าประเมินแล้วว่าไม่ไหวก็บอกจะได้ช่วย แต่ด้วยความที่ฮิตาโดริไม่ชอบการถูกว่าว่าเป็นเด็กเขาจึงไม่ค่อยพอใจ นานามิจึงได้พูดประโยคนี้ขึ้นมา ซึ่งนานามิน่าจะอยากหมายความว่า “ความเจ็บปวดทำให้เราเติบโต” และ “ยิ่งเติบโตยิ่งเจ็บปวดในขณะเดียวกัน” ส่วนตัวมองว่าอายุเป็นเพียงปีที่สื่อความว่าเราใช้ชีวิตบนโลกใบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว มันไม่ได้การันตีว่าเมื่ออายุมากขึ้น จะต้องประสบความสำเร็จ จะต้องแต่งงาน ซึ่งเป็นค่านิยมของสังคมที่ส่งผลต่อเราพอสมควร แต่หากจะบอกว่าการเติบโตไม่สัมพันธ์กับอายุเลยก็อาจจะไม่ถูกต้องซะทีเดียว เพราะการอายุมากขึ้น ประสบการณ์เราก็เยอะขึ้น เรารู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดีต่อชีวิตและได้เรียนรู้การที่จะปล่อยบางสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อยิ่งเจออะไรที่เป็นอุปสรรคหรือสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจ จากเดิมที่มันเป็นเหตุผลที่ทำให้อารมณ์เสียหรือเข้ามามีผลต่อชีวิตและกระทบจิตใจ เมื่อเราโตขึ้นเราก็จะสามารถจัดการกับอารมณ์ได้ดีขึ้น

2. ว่าด้วยเรื่องมุมมองชีวิตของมนุษย์ของมาฮิโตะ

“คนเราคิดมากกับสิ่งที่มองไม่เห็น สำหรับคนที่มองเห็นอย่างฉัน วิญญาณก็เหมือนกับร่างกายไม่มีอะไรพิเศษ  แค่มีอยู่ตรงนั้นก็แค่นั้น เข้าใจหรือเปล่าชีวิตไม่มีน้ำหนักหรือคุณค่าอะไรทั้งนั้น เหมือนน้ำที่ไหลระหว่างสวรรค์กับโลก ชีวิตก็เป็นแค่วัฏจักรหนึ่ง ทั้งฉันและเธอก็เหมือนกัน ไร้ค่า ไร้ความหมาย เพราะแบบนั้น อยากทำอะไรก็ทำ ชีวิตของเธอเป็นอิสระ อย่าไปยึดติดกับอุดมคติของความไม่แยแส เส้นทางชีวิตไม่ได้มีแค่เส้นทางเดียว”

บทสนทนาข้างต้นเป็นบทสนทนาระหว่างมาฮิโตะ วิญญาณต้องสาประดับพิเศษกับโยชิโนะ จุนเป นักเรียนมัธยมปลายที่โดนเพื่อนกลั่นแกล้ง ซึ่งในกรณีของจุนเปบทสนทนาข้างต้นเหมือนชี้ทางสว่างให้ชีวิตของเขาเดินเข้าสู่ด้านมืดอย่างเต็มตัวพร้อมตรรกะความคิดแบบตัวร้าย โดยในตอนแรกมาฮิโตะจะพูดในเรื่องที่ดูสมเหตุสมผล แต่ในช่วงท้ายมาฮิโตะได้ใส่ความบิดเบี้ยวของความคิดเข้าไปคือ “หิวก็กิน เกลียดก็ฆ่า” ต่อท้ายด้วยคำพูดเอาใจใส่ “ฉันยอมรับตัวตนทั้งหมดของจุนเป” จะบอกว่าจุนเปโดนล้างสมองก็อาจไม่ผิดนัก เพราะในช่วงเวลาที่คนเราอ่อนแอ ผู้ที่หยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้จะดูเป็น “คนดี” ในกรณีของมาฮิโตะ แม้ว่าจุนเปเองก็รู้ว่ามาอิโตะเป็นพวกตัวร้าย แต่เขารู้สึกว่ามาฮิโตะแข็งแกร่ง เชื่อใจได้และสามารถชี้นำเขาได้ มาฮิโตะจึงใส่ข้อมูลตามตรรกะความคิดของตนเองให้จุนเป เมื่อจุนเปรู้สึกว่าถูกยอมรับ เขาจึงพร้อมที่จะทำตามคำแนะนำของมาฮิโตะโดยไม่ได้ยั้งคิดเลยว่ามาฮิโตะกำลังใช้ตนเป็นครื่องมืออยู่หรือไม่ (ไม่แน่ใจว่ามาฮิโตะได้วางแผนไว้ตั้งแต่ตอนแรกแล้ว หรือแค่เหตุการณ์มันประจวบเหมาะพอดี จึงใช้จุนเปเป็นเครื่องมือในการล่อฮิตาโดริ)

มาฮิโตะได้พูดถึงมุมมองของชีวิตในความคิดของตนเอง กล่าวคือมาฮิโตะคิดว่าชีวิตไม่มีคุณค่า ไร้ความหมาย เป็นเพียงวัฏจักรหนึ่ง หากลองมองในภาพใหญ่และลองคิดว่าการมีอยู่ของมนุษย์เป็นประโยชน์กับโลกหรือไม่ มนุษย์เกิดมาใช้ชีวิต กินและดื่มบนโลก สร้างสิ่งต่าง ๆ ทำลายธรรมชาติไม่มากก็น้อยและมนุษย์ก็มักจะมองว่าตนเองสำคัญและพยายามจะควบคุมบางสิ่งในบางครั้ง ในมุมมองของโลกเราอาจเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยที่เกิดมาแล้วก็อาจจะดับไปในซักวันหนึ่งเหมือนกไดโนเสาร์ หากลองมองให้ใหญ่กว่านั้นในระดับระบบสุริยะ มนุษย์มีความสำคัญต่อระบบสุริยะหรือไม่ การมีอยู่หรือการไม่มีอยู่ของมนุษย์ส่งผลอะไรบ้าง เมื่อลองตั้งคำถามแบบนี้เราก็จะเข้าใจในมุมมองของมาฮิโตะ ซึ่งมุมมองที่ว่าจริง ๆ แล้วมนุษย์ไม่ได้สลักสำคัญหรือส่งผลอะไรต่อโลกหรือจักรวาลเลยมันก็ดูสมเหตุสมผลเนื่องจากคำถามที่กล่าวไปข้างต้น แต่ถ้าหากเราคิดแบบนี้มากเกินไป (หมายถึงว่ายึดหลักความคิดนี้ในการดำรงชีวิตเลย) อย่างที่มาฮิโตะพูดว่า “ทั้งฉันและเธอก็เหมือนกัน ไร้ค่า ไร้ความหมาย” มันก็อาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้สับสนและท้อแท้ในการใช้ชีวิตไป เอาเป็นว่าในเมื่อเกิดมาแล้วก็ใช้ชีวิตไปแบบดี ๆ รับรู้ความสิ่งที่สมเหตุสมผล และไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็พอ

คนเราคิดมากกับสิ่งที่มองไม่เห็น มนุษย์พยายามที่จะหาเหตุผลเพื่อมารองรับความคิดหรือทฤษฎีเพื่อพิสูจน์หรือเพื่อให้มีความน่าเชื่อถือ ยิ่งกับสิ่งที่มองไม่เห็นแล้วยิ่งคิดเยอะ ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น เรื่อง

ชีวิตของเธอเป็นอิสระ อย่าไปยึดติดกับอุดมคติของความไม่แยแส เส้นทางชีวิตไม่ได้มีแค่เส้นทางเดียว

จะบอกว่าประโยคนี้เป็นประโยคโปรดของผู้เขียนเลยก็ว่าได้ (ผู้เขียนในที่นี้คือคนเขียนบทความนี่แหละ) เพราะส่วนตัวมองว่าทุกคนมีเจตจำนงอิสระ มีชีวิตเป็นของตนเอง มีความเป็นปัจเจก และอาศัยร่วมกับผู้อื่นที่มีความเกี่ยวข้องกันกับคนอื่น ๆ ทางด้านสายสัมพันธ์ในทางใดทางหนึ่ง เช่น การทำงาน เพื่อน ครอบครัว คนรัก เป็นต้น แม้ว่าบางครั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องมีอิทธิพลและส่งผลต่อการตัดสินใจต่อทางเลือกมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต การเลือกทางเดินของคนคนหนึ่งก็ควรเป็นทางเลือกที่พวกเขาเลือกเอง อย่างน้อยพวกเขาจะได้ไม่เสียใจในภายหลังเพราะได้ “เลือก” สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองด้วยตนเองแล้ว

“ทุกคนชอบเล่นคำเพราะมนุษย์ไม่สามารถใช้ชีวิตโดยไม่มีข้ออ้างได้”

บอกตามตรงว่าครั้งแรกที่ได้ยินประโยคนี้ถึงกับจุกนิดหน่อยเพราะพูดได้จี้ใจเหลือเกิน ถ้าหากลองถามตัวเองดูว่าเคยใช้ข้ออ้างในการดำรงชีวิตกี่ครั้ง คงตอบไม่ได้เพราะนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็มักจะหยิบยกข้ออ้างขึ้นมาเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ ทั้ง ๆ ที่รู้แหละว่านั่นมันคือข้ออ้าง แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ห้ามตัวเองไม่ได้ทุกที (จนถึงตอนนี้ที่เขียนบทความอยู่ ผู้เขียนก็ยังใช้ข้ออ้าง) นับว่าเป็นเรื่องตลกที่สร้างสีสันดีหากเรารวบรวมสารพัดข้ออ้างมากลบเกลื่อนสิ่งที่ไม่โอเคของตนเอง คงยาวมากกว่าหางว่าวแน่ ๆ ทุกคนสามารถใช้ข้ออ้างได้ตามใจชอบ ตราบใดที่มันไม่กระทบกับชีวิตมากนัก ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แนะนำว่าอย่าใช้ข้ออ้างกับเรื่องที่สำคัญ ๆ เพราะอาจจะเป็นการทำให้ตัวเองดูแย่กว่าเดิมหรือไม่น่าไว้วางใจ เช่น หากคุณบริหารได้ไม่ดีแต่ใช้ข้ออ้างมากลบเกลื่อน อ้างแล้วอ้างอีกแต่ก็ไม่ทำ อ้างจนคนหมั่นไส้ อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ เป็นต้น

เพื่อไม่ให้บทความนี้ยาวจนเกินไป เราจะมาวิเคราะห์กันต่อในพาร์ทสอง หากใครสนใจที่จะรับชม “มหาเวทย์ผนึกมาร” Jujutsu Kaisen สามารถรับชมได้ใน Netflix ค่ะ