Sweet and Sour (2021) รักหวานอมเปรี้ยว เป็นภาพยนตร์เกาหลีที่เพิ่งเข้าใหม่ใน Netflix และยังติดเทรนด์อันดับหนึ่งอีกด้วย ซึ่งช่วงนี้ก็จะเห็นรีวิวหนังเรื่องนี้อยู่เต็มฟีดไปหมดเพราะความฮา ตลกร้ายและการสับขาหลอกที่ภาพยนตร์ได้มอบให้ (มีสปอยล์ในย่อหน้าสปอยล์)

เรื่องย่อ
Sweet and Sour (2021) รักหวานอมเปรี้ยว เป็นเรื่องราวความรักระหว่าง อีจางฮยอก (แสดงโดยจางกียง) วิศวกรหนุ่มอนาคตไกลกับจองดาอึน (แสดงโดย แชซูบิน) พยาบาลสาว เริ่มแรกเหมือนความรักของพวกเขาจะไปได้ดี แต่จุดเริ่มต้นของความโกลาหลของความสัมพันธ์นี้คือการที่อีจางฮยอกต้องย้ายไปทำงานในบริษัทใหญ่ที่โซล ทำให้ความรักของพวกเขาเริ่มมีระยะห่างและเวลาว่างที่ไม่ตรงกัน จากนั้นอีจางฮยอกก็ได้ไปเจอกับ ฮันโบยอง (แสดงโดย จองซูจอง) พนักงานใหม่ที่เข้ามาพร้อมกันและจับพลัดจับผลูได้ทำงานในทีมเดียวกัน ทำให้ทั้งคู่เกิดความหวั่นไหวในใจขึ้นเรื่อย ๆ
รีวิว
ถ้าถามว่าดู Sweet and Sour (2021) รักหวานอมเปรี้ยว เพราะอะไร ก็คงจะตอบว่าดูเพราะไปอ่านรีวิวมาและทุกรีวิวก็พูดตรงกันว่าหนังเรื่องนี้ “แกง” คนดู หรือ “ต้มซะเปื่อย” เลยคิดว่าช่วงนี้เบื่อ ๆ พอดี ดูเรื่องนี้จบอาจทำให้หายเซ็งได้บ้าง ปรากฏว่าพอดูจบก็รู้สึกเซ็งกว่าเดิมเพราะพล็อตมันไปเรื่อย ๆ ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้น คนดูได้แต่นั่งลุ้นว่าความสัมพันธ์ที่ดูยุ่งเหยิงนี้จะเป็นอย่างไรต่อ ส่วนตัวรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ให้ครบทุกความรู้สึก ทั้งความรู้สึกอบอุ่นใจและตื่นเต้นเหมือนการพบรักแรก ความรู้สึกเบื่อกับปัญหาที่แก้ไม่จบไม่สิ้น อีกทั้งยังรู้สึกกลุ้มใจตามโบยอง และการตัดสินใจของตัวละครบางครั้งก็ทำให้รู้สึกอิหยังวะเป็นอย่างมาก เพราะแทนที่จะแก้ปัญหาดี ๆ กลับไปทำให้มันยุ่งเหยิงขึ้นกว่าเดิม
ส่วนตัวมองว่าหนังเรื่องนี้ครบรสในเรื่องของความสัมพันธ์แบบแฟน มีทั้งช่วงที่รักกันดี อะไรก็ดีไปหมด มีทั้งช่วงที่ทั้งคู่รู้สึกหมดไฟในความสัมพันธ์ เปิดเผยนิสัยในด้านแย่ ๆ และลืมที่จะแคร์ความรู้สึกของกันและกัน จนทำให้ทุกอย่างแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะความรู้สึกที่เสียไป มันเอากลับมาไม่ได้ หากใครได้ดูเรื่องนี้ก็คงเข้าใจในจุดนี้ดีว่าการที่ความสัมพันธ์จะเดินต่อได้นั้นต้องอาศัยความเอาใจใส่ เสมอต้นเสมอปลาย พยายามปรับและเคลียร์ปัญหานั้น ๆ ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ทำง่าย แต่ด้วยนิสัยและทิฐิที่มีอยู่ในตัวของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ทำให้ปัญหายิ่งขมวดปมและไม่รู้เลยว่าถ้าจะแก้ปมต้องเริ่มจากตรงไหน

(สปอยล์)
สิ่งหนึ่งที่ชอบในภาพยนตร์เรื่อง Sweet and Sour (2021) คือการนำตัวละครเอกที่เป็นคนร้าย ๆ มาเจอกัน ทั้งนางเอกและทั้งพระเอก ก็ถือว่าเป็นคนที่ศีลเสมอกัน ในขณะที่คนหนึ่งเริ่มสร้างโลกอีกใบเพราะความรู้สึกน้อยใจที่นางเอกมองว่าตนไม่รัก ไม่แคร์ และเป็นฝ่ายผิด ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มองในมุมนางเอกเลยว่าหลาย ๆ อย่างมันเปลี่ยนไป พระเอกเองก็ไม่ได้แคร์อย่างที่พูดขนาดนั้น ในด้านของนางเอก เธอก็เป็นคนที่ปากไม่ตรงกับใจ อยากได้อะไรก็จะพูดตรงกันข้าม (ในส่วนนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฮอร์โมนหรือนิสัยจริง ๆ) และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์นี้มันยุ่งเหยิง ถ้าถามว่าใครผิดก็คงจะต้องตอบทั้งผิดและไม่ผิดทั้งคู่ หากผิดก็คงเป็นเพราะการที่ไม่ได้ปรับความเข้าใจกันแต่แรก หากไม่ผิดก็เป็นเพราะทั้งคู่อาจรู้สึกว่าอยากจบความสัมพันธ์นี้

(สปอยล์)
คนเรานั้นบางครั้งก็ต้องการแค่ใครซักคนที่ทำให้เรารู้สึกว่ามีเซฟโซนและพึ่งพาได้ ไม่ว่าจะมาในรูปแบบความสัมพันธ์ครอบครัว คนรัก สัตว์เลี้ยง หรือเพื่อน แต่ความต้องการที่จะมีใครซักคนโดยที่ต้องการเป็นฝ่ายรับอย่างเดียวเป็นสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ที่มีเป็นความสัมพันธ์แบบ toxic relationship ซึ่งความสัมพันธ์ที่ดีนั้นทั้งสองฝ่ายควรที่จะเป็นทั้งฝ่ายรับและฝ่ายให้ ซึ่งความสัมพันธ์ในเรื่อง Sweet and Sour (2021) เป็นความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างพยายามประคับประคองความสัมพันธ์ แต่หลาย ๆ อย่างที่เป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำร้ายความรู้สึกกันและกัน เช่น การที่อีจางฮยอกไม่เอาขยะไปทิ้งหรือเปลี่ยนหลอดไฟให้จองดาอึน การที่อีจางฮยอกกลับบ้านแล้วนอนอย่างเดียวเวลาไปเที่ยวด้วยกันก็ค่อนข้างเร่งรีบเพราะเหนื่อยจากงานทำให้ละเลยที่จะพูดคุยและเอาใจใส่จองดาอึน จองดาอึนเองก็พยายามเข้าใจแต่ก็อดที่จะน้อยใจไม่ได้และสุดท้ายก็เก็บมาน้อยใจคนเดียวและจองดาอึนเองก็ไม่ลองทำสิ่งที่อีจางฮยอกทำให้ พยายามทำความเข้าใจว่าต่างคนต่างเหนื่อย จุดแตกหักของทั้งคู่คือตอนที่อีจางฮยอกเรียกชื่อจองดาอึนเป็น “โบยอง” ผู้หญิงในที่ทำงาน ทำให้จองดาอึนเข้าใจผิดว่าอีจางฮยอกนอกใจ (ซึ่งก่อนหน้านี้การกระทำก็เข้าข่าย มีการโกหกและการไม่บอกโบยองให้ชัดเจนว่าตัวเองมีแฟนแล้ว) แล้วอีจางฮยอกก็ไปนอกใจจริง ๆ กับโบยองโดยที่โบยองไม่ได้รู้เรื่องด้วย ในช่วงนี้รู้สึกขัดใจในนิสัยเป็นอย่างมากเพราะในขณะที่จองดาอึนท้องอยู่ แต่อีจางฮยอกก็ดูไม่ยินดียินร้ายและใส่ใจความรู้สึกของคนรักมากนัก จนสุดท้ายเขาก็ต้องเสียใจนภายหลังและเงิบไปพร้อมกับคนดูเมื่อพบว่าจองดาอึนมีคนใหม่เรียบร้อยแล้ว

(สปอยล์)
จะเห็นได้ว่าทั้งคู่นั้น ต่างคนต่างค่อย ๆ ออกห่างจากความสัมพันธ์นี้ไปเรื่อย ๆ ถึงแม้ในตอนท้ายอีจางฮยอกคิดได้ว่าเขาควรรักษาจองดาอึนไว้ แต่นั่นก็สายไปแล้ว จองดาอึนได้รู้จักและคบกับจางฮยอก (คนใหม่) ซึ่งเข้ามาดามใจในขณะที่เธอทะเลาะกับอีจางฮยอก โดยที่ไม่มีใครรู้ แถมยังเปลี่ยนชื่อไฟลท์บินจากอีจางฮยอกเป็นจางฮยอกด้วย (พอเรื่องเฉลยก็ได้แต่คิดว่าจองดาอึนก็แอบร้ายเหมือนกัน) สุดท้ายอีจางฮยอกก็ได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงที่บริษัทอีกครั้งและได้ทำการสวมแหวน (ที่เคยเป็นของจองดาอึน) ให้กับโบยองอย่างลุกลี้ลุกลน ซึ่งสามารถสื่อได้ว่าเขาต้องการรักษาโบยองไว้เพราะเขาเสียจองดาอึนไปแล้ว แต่โบยองก็งงและบอกกับอีจางฮยอกว่า “เรายังไม่ได้ไปถึงขั้นซักหน่อย” ส่วนตัวรู้สึกชอบและขำกับฉากนี้มาก รู้สึกว่ามันเรียลได้ใจจริง ๆ อีกอย่างหนึ่งคือการสับขาหลอกของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่หากใครไม่สังเกตหรือคิดมากจริง ๆ ก็อาจจะโดนต้มได้ เช่น การแบ่งพาร์ทของหนังเป็นรองเท้าคู่ใหม่กับรองเท้าคู่เก่า ชื่อของตัวเอกที่เรียกเหมือนกัน (แต่มีจุดแตกต่างกันอยู่) การเรียกชื่อฮยอกของจองดาอึนที่เรียกทันทีหลังจากรับโทรศัพท์ทั้ง ๆ ที่เป็นเบอร์ไม่รู้จัก เป็นต้น โดยประโยคที่ชอบที่สุดจาก Sweet and Sour (2021) คือ
“นี่ฉันพลาดตรงไหนไปนะ” ซึ่งอีจางฮยอกได้กล่าวขึ้นหลังจากที่พบว่าจองดาอึนคบกับคนใหม่ และภาพแฟลชแบ็ค (Flash back) เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อีจางฮยอกได้ทำให้จองดาอึนเสียใจทั้งเรื่องใหญ่ เรื่องเล็ก เรื่องน้อย ก็ปรากฏขึ้น แต่เมื่อย้อนกลับไปเรื่อย ๆ ก็พบว่าต้นเหตุที่เขาคิดว่าทำให้เขาต้องเลิกกับจองดาอึนนั้นคือ หัวหน้าที่ต้องการให้เขาไปทำงานที่บริษัทใหม่ชั่วคราว ซึ่งก็ขำดีที่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้รู้สาเหตุจริง ๆ ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับจองดาอึนต้องจบลง
สรุป
Sweet and Sour (2021) รักหวานอมเปรี้ยว เป็นภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวความรัก การงานและชีวิตที่มีความสัมพันธ์กันอย่างแยกออกจากกันไม่ได้ของคนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ทั้งการแข่งขัน ความเร่งรีบ เวลาที่มีจำกัด และความสัมพันธ์ที่ต้องรักษาไว้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สื่อเป็นข้อความสู่ผู้ชมได้อย่างดีเยี่ยมว่าในขณะที่เรากำลังขะมักเขม้นกับการทำหน้าที่ของตนเอง ใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองบางครั้ง จนบางครั้งอาจทำให้เราลืมอะไรไปหรือเปล่า ลืมอะไรซักอย่างที่นึกตอนนี้เท่าไหร่ก็นึกไม่ออก กว่าจะรู้ตัวอีกทีสิ่งที่มีอยู่แต่เรามองไม่เห็นก็ได้หายไปอย่างไม่มีวันกลับ หากไม่อยากหลงลืมสิ่งที่สำคัญ ก็ควรลองเปิดใจและใช้ใจมองว่าอะไรกันแน่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา และจากนั้นเราก็จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างมั่นใจว่าเราไม่ได้ลืมของสำคัญไว้ข้างหลัง