นานมาแล้วเมื่อประมาณปีที่แล้วได้ มีหนังเรื่องหนึ่งที่ผมดองไว้นาน ไม่ได้เอามาดูสักที จนแล้วจนรอด ก็ได้ดูจนได้ กับหนังเรื่อง The Florida Project หรือในชื่อภาษาไทย “แดน (ไม่) เนรมิตร” นับว่าเป็นหนังหนึ่งเรื่อง ที่ผมว่าตั้งชื่อภาษาไทยได้ดีมาก มันบอกถึงความเป็นตัวตนของหนังทั้งเรื่องได้อย่างครบถ้วน เมื่อวานได้มีโอกาสได้กลับมาดูอีกรอบ แต่มันยังคงตราตรึงใจมาจนถึงตอนนี้ วันนี้ผมจะพาทุกคนไปรู้จักกับหนังเรื่องนี้กันครับ The Florida Project

หนังเรื่อง The Florida Project เป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องของ Halley (รับบทโดย Bria Vinaite) อาศัยอยู่กับลูกสาววัย 6 ขวบ Moonee (รับบทโดย Brooklynn Kimberly Prince) ที่โมเต็ลชั่วคราวราคาประหยัดบริเวณย่านการค้าที่จะมีนักท่องเที่ยวของสวนสนุก Walt Disney โคจรไปมาตลอด นอกเมือง Orlando รัฐ Florida ในขณะที่ Halley ใช้ชีวิตโดยหาเช้ากินค่ำไปวัน ๆ พร้อมกับยังคงใช้ชีวิตเสเพล ผู้คนที่อยู่แถวนั้นต่างก็คอบสาปส่งเธอ เมื่อถูกเลี้ยงมาแบบนั้น Moonee จึงเป็นเด็กแสบ และคอยแต่จะทำเรื่องปวดหัวให้กับผู้คนแถวนั้นอยู่ตลอด นโยบายของโมเต็ลที่พวกเขาอาศัยอยู่นี้ ไม่ได้เปิดให้เช่าระยะยาว แต่ผู้จัดการโมเต็ล Bobby (รับบทโดย Willem Dafoe) จัดการเรื่องให้ Halley และอีกหลาย ๆ คนสามารถเช่าระยะยาวได้ เนื่องจากตระหนักดีว่าคนเหล่านั้นไม่มีที่ไป ถึงอย่างนั้น Bobby ก็ยังแอบรู้สึกเป็นห่วงและรัก Moonee และเด็ก ๆ อยู่บ้าง เรื่องราวดำเนินไปโดยส่วนใหญ่เราจะได้เห็นในมุมมองของ Moonee เด็กน้อยที่เติบโตมาโดยผู้เป็นแม่อย่าง Halley จะเป็นอย่างไร อยากให้ทุกคนได้ดูกันใน The Florida Project

ก่อนอื่นผมต้องขอชื่นชมก่อนเลยครับ หนังเรื่อง The Florida Project นี้ใช้ทุนสร้างน้อยมาก เพียงแค่ 2 ล้านเหรียญเท่านั้น แต่กลับสร้างหนังที่ดี (สำหรับผม) เรื่องหนึ่งเลย หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังที่ดูง่ายเลย ออกจะน่าเบื่อเสียด้วยซ้ำ ความยาวประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง แต่หนังไม่ได้มีการดำเนินเรื่องตามขนบ เปิดเรื่องเบา ๆ เสียหน่อย กลางเรื่องเริ่มมากขึ้น ปลายเรื่องค่อยไคลแม็กซ์ หนังเรื่องนี้ไม่มีอะไรแบบนั้นเลย หนังเรื่องนี้ดำเนินเรื่องค่อนข้างเป็นเส้นตรง ไม่ได้มีความสลับซับซ้อน หรือชวนให้ติดตามต่อเลย สารภาพว่าผมใช้เวลาดูหลายรอบกว่าจะจบในตอนแรก แต่พอดูจบแล้ว คราวนี้กลับมาดูอีกรอบ อีกสองรอบ แหม่ มันช่างดีเหลือเกิน

อย่างที่บอกไป ว่าหนังเรื่อง The Florida Project นี้ดำเนินเรื่องผ่านตัวละคร Moonee ในวัย 6 ขวบ มุมมองต่าง ๆ ที่เธอเห็นก็จะเป็นมุมมองของเด็ก 6 ขวบ ถึงแม้ Halley ผู้เป็นแม่จะทำอะไรไม่ดี เธอในวัย 6 ขวบก็คงแยกแยะไม่ได้ แต่เราในฐานะคนดูสามารถแยกแยะได้อยู่แล้ว บวกกับการใช้สีที่ค่อนข้างจะทำให้เราคิดถึงหนัง Coming of Age เก่า ๆ ทำให้อะไรหลายอย่างดีขึ้น เราจะได้เห็นการใช้ชีวิตของ Moonee กับพฤติกรรมต่าง ๆ ในชีวิต กับการถูกเลี้ยงดูโดยแม่ที่ค่อนข้างจะใช้ชีวิตตามใจและตามอารมณ์ สูบบุหรี่ ไม่หางานทำเป็นหลักแหล่ง ไม่เคยสอน Moonee หรือตักเตือนในทางที่ถูก สอนลูกให้เป็นยัยตัวแสบตลอด สิ่งเหล่านี้สะท้อนออกมาในพฤติกรรมของ Moonee และสิ่งที่เธอปฏิบัติต่อผู้อื่น อย่างว่า เด็กเปรียบเสมือนผ้าขาว ที่เราจะแต่งแต้มสิ่งใดไปก็ได้ แล้วเด็กก็จะแสดงถึงสีที่เราแต่งแต้มลงไปนั่นแหละ

แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นเหล่านี้ก็ไม่สามารถที่จะโทษ Halley หรือ Moonee ได้เลยเสียทีเดียว หนังเรื่องนี้ยังได้มีการสะท้อนสังคมเล็ก ๆ สิ่งที่ Halley ทำ คือการพยายามเป็นผู้รอดชีวิต ในสังคมที่สุดแสนจะโหดร้าย การไม่ได้เกิดมาเท่าเทียมกับคนอื่น ก็ต้องดิ้น หาทางให้ตัวเองรอดต่อไปในวันพรุ่งนี้ และพยายามให้ลูกและตนเองมีความสุขมากที่สุด โดยนึกถึงเรื่องราวเลวร้ายให้ได้น้อยที่สุด โอเคว่าวิธีการหลายอย่างของ Halley อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ทำเพื่อตัวเองและ Moonee นั่นแหละ

ตัวละครหนึ่งที่ผมชอบมากของ The Florida Project นี้ คือตัวละครผู้ดูแลโมเต็ล Bobby ตัวละครของ Willem Dafoe เขาคนนี้ดูไปก็คล้ายคนแก่หน้าโหดแต่ใจดีคนหนึ่ง ทุกสิ่งที่ทำนั้นเป็นหน้าที่ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็อยากจะให้ความช่วยเหลือ Halley และผู้เช่าคนอื่นให้ได้มากที่สุด Willem Dafoe เล่นออกมาได้ดีมากเลยครับ เข้าใจตัวละครและตีความออกมาได้น่าประทับใจมาก
ฉากหนึ่งที่ชอบมากที่สุดในเรื่องและขอพูดถึงเลย (No Spoil) คือฉากท้ายสุดของเรื่องครับ มันทำให้เราได้ตระหนักรู้จริง ๆ เลยว่า สุดท้ายแล้ว ถึง Moonee จะถูกเลี้ยงมาแบบไหน ให้เป็นยัยตัวแสบหรือเป็นอะไรก็ตาม สุดท้ายแล้วเด็กก็คือเด็ก และที่ที่ปลอดภัยที่สุดที่เด็กจะนึกถึงได้มีเพียงที่เดียว ฉากนี้เป็นฉากที่มีพลังและทำให้ผมขนลุกมากครับ

สุดท้ายนี้ ขอฝากหนังเรื่องนี้ไว้ครับ อาจไม่ได้ดูหวือหวาอะไร อาจจะออกไปทางน่าเบื่อเสียด้วยซ้ำ แต่คุณจะได้อะไรจากหนังเรื่องนี้แน่นอนครับ รับรองว่าคุณจะรักเด็กแสบอย่าง Moonee แน่นอน การลองหันมามองคนอื่น คนที่เราดูถูกเหยียดหยาม มองอย่างพยายามทำความเข้าใจก็ไม่เลว เพราะเราทุกคนเกิดมามีต้นทุนชีวิตไม่เท่ากัน แต่ที่เราทุกคนทำเหมือนกัน คือการพยายามมีชีวิตให้รอดในทุกวัน