Move to heaven (2021) ซีรีย์ที่ทำให้ผู้ชมเสียน้ำตาไปกับเรื่องราวสุดท้ายที่ผู้ตายได้ทิ้งไว้และความสัมพันธ์ของอากับหลาน

เรื่องย่อ
หลังจากปล่อยตัวอย่างออกมา Move to heaven (2021) ก็เป็นซีรีส์ที่ทุกคนต่างรอคอยกันตั้งแต่ต้นเดือน โดยสามารถรับชมได้ทาง Netflix โดยเป็นเรื่องราวของฮันกือรู (แสดงโดย ทังจุนซัง) เด็กหนุ่มที่มีอาการแอสเพอร์เกอร์วัย 20 ปี ซึ่งทำงานเป็นพนักงานเก็บกวาดที่เกิดเหตุในบริษัทที่พ่อของเขาเปิดขึ้นเอง โดยสิ่งที่ทำให้บริษัทของเขาและพ่อพิเศษกว่าที่อื่นนั้นคือการที่ไม่เพียงแต่เก็บกวาดข้าวของ แต่หน้าที่รับผิดชอบของพวกเขารวมไปถึงการเก็บกวาดความทรงจำและเรื่องราวที่ผู้ตายได้ทิ้งเอาไว้ผ่านสิ่งของต่าง ๆ ด้วย แต่แล้วในวันหนึ่งฮันกือรูต้องอยู่ร่วมกับ โจซังกู (แสดงโดย อีเจฮุน) อาที่มีนิสัยต่างกันลิบลับโดยที่โจซังกูนั้นมาเพื่อเป็นผู้ปกครองและดูแลฮันกือรู

รีวิว
ภายในความยาว 10 ตอน ตอนละไม่เกิน 1 ชั่วโมง ของ Move to heaven (2021) ทำให้เราทราบถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ถูกถ่ายทอดอย่างละเมียดละไมในแต่ละอีพี การเล่าเรื่องของ Move to heaven ในบางครั้งจะใช้ความเงียบเป็นตัวกลางในการสื่อสารระหว่างตัวละครกับเรื่องราวขณะนั้น ขณะที่ทำการเก็บกวาดฮันกือรูมักจะใส่หูฟังและเปิดเพลงคลาสสิกฟังตลอดเวลา ซึ่งเพลงคลาสสิกนี้เองที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกราวกับว่าได้รับรู้เรื่องราวของผู้ตายแต่ละคนราวกับไปอยู่ตรงนั้นจริง ๆ หากสังเกตดี ๆ เพลงที่ใช้ในการเก็บกวาดแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกันและจะมีฉากฮันกือรูเปิดเพลงและเลือกเพลงทุกครั้งที่ไปยังที่เกิดเหตุ
สิ่งที่ Move to heaven (2021) ต้องการจะสื่อในแต่ละตอนคือชีวิตและความเป็นจริงของคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการตายแบบใด ทุกการตายย่อมมีเรื่องราว และเรื่องราวเหล่านั้นก็ถูกถ่ายทอดผ่านการเก็บกวาดของตัวเอก การสะท้อนชีวิตในสังคมเกาหลี ซึ่งเชื่อว่าในทุก ๆ สังคมก็คงจะมีเรื่องแบบนี้เหมือนกันไม่ว่าจะประเทศไหน เช่น การเอาเปรียบของนายจ้าง การกดขี่ในที่ทำงาน การฆ่าตัวตาย การถูกทอดทิ้งและตายอย่างโดดเดี่ยว เป็นต้น เรื่องราวโดยภาพรวมสามารถถ่ายทอดออกมาได้ดี ภาพสวย เพลงประกอบดี เรียกได้ว่าต้องซับน้ำตากันหลายตอน

(สปอยล์)
เริ่มเรื่องด้วยการเล่าถึงการทำงานเก็บกวาดที่เกิดเหตุของ ฮันกือรู และ ฮันจองอู พ่อของเขา (แสดงโดย จีจินฮี) โดยก่อนการเก็บกวาดที่เกิดเหตุ ฮันกือรูจะพูดว่า
“ผมเป็นพนักงานเก็บกวาดที่เกิดเหตุที่จะมาเก็บกวาดข้าวของของคุณ ผมจะเริ่มการขนย้ายครั้งสุดท้ายครั้งสุดท้ายของคุณครับ”
โดยพวกเขาจะทำการแยกขยะกับของสำคัญออกจากกัน โดยของสำคัญที่ว่าก็คือของที่สื่อถึงการมีตัวตนอยู่ของคนคนนั้นขณะที่มีชีวิตอยู่ โดยพวกเขาจะแยกของสำคัญใส่ไว้ในกล่องสีเหลืองที่เขียนชื่อของผู้ตายและข้อความ “ขอให้ไปสู่สุขคติ”

(สปอยล์)
จุดหักเหของเรื่องในช่วงแรก (อีพีแรก) คือการตายของฮันจองอูพ่อของฮันกือรู ซึ่งแม้ว่าฮันกือรูจะมีชีวิตที่พร้อมและดูแลตัวเองได้ แต่การตายของพ่อก็ทำให้เขาเสียศูนย์ไปพอสมควร เพราะพ่อคอยทำทุกอย่างให้เขาอย่างเช่นเรื่องการทอดไข่ดาว ในอีพีแรกพ่อได้พยายามสอนให้ฮันกือรูทอดไข่ดาวเอง แต่ฮันกือรูก็บอกว่าในเมื่อพ่อทำให้ทุกวันอยู่แล้วไม่ต้องทำเองก็ได้ แต่พอวันถัดมาพ่อของเขาก็ได้เสียโดยที่ยังไม่ทันได้บอกลาหรือเจอหน้ากันและยังไม่ได้สอนในเขาทอดไข่ดาวเองเลย ประโยคสุดท้ายที่พ่อของเขาได้พูดก่อนที่จะหมดสติคือ “พ่อขอโทษ” แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ในวินาทีสุดท้ายฮันจองอูก็เป็นห่วงและคิดถึงฮันกือรูเป็นอำดับแรกและขอโทษที่ไม่ได้อยู่ดูแลฮันกือรูอีกต่อไป

(สปอยล์)
อีกหนึ่งจุดหักเหของชีวิตฮันกือรูคือการที่พ่อทำพินัยกรรมให้อาหรือโจซังกูเป็นผู้ปกครองของฮันกือรู โดยที่โจซังกูนั้นมีชีวิตประจำวันและนิสัยต่างกับฮันกือรูโดยสิ้นเชิง จนเรียกได้ว่าตรงข้ามกัน ในขณะที่ฮันกือรูที่เข้าข่ายในการเป็นเพอร์เฟคชั่นนิส ( perfectionist ) เพราะไม่ว่าจะเป็นของในตู้เย็น การจัดโต๊ะอาหาร ทุกอย่างดูเป็นระเบียบและเป๊ะราวกับหลุดออกมาจากโฆษณา กลับกันโจซังกูเป็นคนที่ทำอะไรไม่เป๊ะ ใช้ชีวิตแบบมีความยืดหยุ่น ไม่ชอบอาบน้ำ ในช่วงแรกโจซังกูได้แกล้งทิ้งขยะไม่เป็นที่และทำตัวสกปรกเพื่อให้ฮันกือรูรับไม่ได้แต่แล้วสิ่งที่ฮันกือรูทำคือเก็บกวาดขยะทั้งหมด หลังจากที่พวกเขาได้ทำงานร่วมกันและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันระยะหนึ่ง ฮันกือรูก็นับถือโจซังอูในฐานะอาและคนในครอบครัวเพราะฮันกือรูคิดว่าถึงแม้อาจะเป็นคนดีแบบแปลก ๆ แต่ทุกครั้งที่เขาต้องการทำอะไร อาก็พร้อมที่จะสนับสนุนและอยู่ข้างเขาเสมอ ฉากที่ฮันกือรูแสดงออกว่ายอมรับโจซังกูคือการจัดโต๊ะอาหารไว้สามที่ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ฮันกือรูจะจัดโต๊ะอาหารไว้เพียงสองที่คือสำหรับเขาและพ่อของเขา

(สปอยล์)
ปฏิเสธไม่ได้ว่าคาแรคเตอร์ของตัวละครโจซังกูที่มีเสน่ห์และเท่ เนื่องจากที่โจซังกูนั้นมีอาชีพเป็นนักมวยใต้ดิน ทำให้ภายนอกของเขาดูเถื่อนและชวนหาเรื่องสุด ๆ แต่กลับกันภายในของเขานั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นและความรักที่พร้อมจะมอบให้กับคนที่ดีและคู่ควร เพราะแผลในอดีตที่เขาเคยเข้าใจผิดเรื่องพี่ชายและการต้องดิ้นรนด้วยตัวเองทำให้เขาต้องสร้างความเข้มแข็งแต่ลึก ๆ ภายในเขาก็ยังเป็นคนที่อ่อนไหวและมีจริยธรรม นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาอยากที่จะสนับสนุนและคอยเป็นห่วงฮันกือรู ถึงแม้ว่าบางเรื่องที่ฮันกือรูทำนั้นอาจถูกมองว่าไร้สาระและตัวเขาเองก็มองว่าทำไปทำไม แต่สุดท้ายแล้วเขาก็อยู่ข้าง ๆ ฮันกือรูอยู่ดี เมื่อเรื่องราวดำเนินไปเรื่อย ๆ ก็จะเห็นว่าฮันกือรูได้ดึงด้านดี ๆ ของโจซังกูออกมา ทำให้โจซังกูมีความสุขในชีวิตมากขึ้นและช่วยให้โจซังกูหลุดพ้นจากความทุกข์ในอดีตและอยู่กับปัจจุบัน

(สปอยล์)
นามู (แสดงโดย ฮงซึงฮี) เป็นเพื่อนบ้านและเพื่อนสนิทของฮันกือรูที่คอยสอดส่องและเป็นห่วงฮันกือรูอยู่เสมอ เธอมองฮันกือรูว่าเป็นคนพิเศษและฉลาด ตอนที่เธอรู้ข่าวจากทนายว่าโจซังกูจะมาเป็นผู้ปกครองของฮันกือรู เธอก็เป็นห่วงจนต้องวางเครื่องดังฟังไว้ในบ้านของฮันกือรู มีฉากนึงที่โจซังกูถามว่าเธอชอบฮันกือรูใช่ไหม เธอก็ออกอาการเลิ่กลั่กและยอมรับ แต่หลังจากนั้นซีรีส์ก็ไม่ได้อธิบายอะไรต่อว่าจริง ๆ แล้วนามูชอบฮันกือรูในฐานะเพื่อนสนิทหรือมีความรู้สึกพิเศษอื่นซ่อนอยู่
ด้วยความสามารถพิเศษของฮันกือรูที่สามารถจดจำข้อมูลได้อย่างดีเยี่ยมแม้เห็นเพียงครั้งเดียว ในทุกการเก็บกวาดเขาจึงพยายามที่จะเรียนเรียงเรื่องราวที่ผู้ตายได้ทิ้งไว้ผ่านสิ่งของต่าง ๆ ที่ดูผ่าน ๆ แล้วอาจจะไม่มีอะไร การกระทำเช่นนี้ของฮันกือรูทำให้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อยก็ผู้ตายได้รับรู้เรื่องราวเหล่านั้นด้วย ซึ่งนั่นเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถดึงด้านดี ๆ ของผู้คนออกมาได้ และทำให้คนที่มีความสัมพันธ์ของผู้ตายนั้นได้คลายใจและได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่แท้จริง หากนึกย้อนไปตอนเริ่มเรื่องก็จะพบว่าฮันกือรูได้ทำตามสิ่งที่ฮันจองอูได้บอกไว้ได้อย่างดี ความว่า ‘ถ้าเราลองพิจารณาและสังเกตดูดี ๆ เราจะได้ยินสิ่งที่ผู้ตายอยากบอก’

(สปอยล์)
โดยส่วนตัวแล้วเรื่องราวที่ผู้เขียนประทับใจที่สุดคือเรื่องราวของโจซังกู ไม่ว่าจะเป็นการจากไปของลูกศิษย์หรือการเข้าใจผิดกับพี่ชายในอดีต ซึ่งต่อมาก็ได้คลายปมได้อย่างดีและแสดงให้เห็นว่าพี่ชายของเขาเองก็ไม่เคยลืมเขาเลย โดยเฉพาะฉากเปิดตู้รองเท้าที่เป็นฉากอารมณ์ที่เศร้า แต่น่าแปลกที่มีความอบอุ่นและความรักอบอวลและซ่อนอยู่ในนั้น และฉากนี้เองที่กำแพงของโจซังกูได้พังทลายลงและพร้อมก้าวต่อไปเพื่อใช้ชีวิตของตนเอง
อีกหนึ่งเรื่องที่ประทับใจคือเรื่องราวความรักระหว่างหมอหนุ่มจองซูฮยอนกับเอียนซึ่งเป็นนักเชลโล่ ทั้งสองเจอกันที่โรงพยาบาลในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเพราะเอียนประสบอุบัติเหตุ บรรยากาศในการเจอกันของทั้งสองดูโรแมนติกและอบอุ่นเหมาะสมกับเทศกาล แม้ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาจะไม่ได้รับการยอมรับและไม่สมหวังในความรัก แต่อย่างน้อยความหวังในการให้จดหมายรักของจองจูฮยอนก็ได้รับการส่งต่อผ่านฮันกือรู ทำให้เอียนได้ก้าวผ่านสิ่งที่ค้างคาใจมาตลอด โดยข้อความในจดหมายกล่าวถึงการบอกรักและขอแต่งงานและข้อความเริ่มต้นจดหมายได้กล่าวว่า “พี่ตั้งตารอวันพรุ่งนี้เป็นครั้งแรกหลังจากที่ได้เจอนายและหวังว่าจะกล้าหาญกว่าเมื่อวานเพราะนาย” ซึ่งสามารถสื่อถึงความรู้สึกภายในใจทั้งหมดที่จองจูฮยอนมีต่อเอียนได้อย่างลึกซึ้งและกินใจ

(สปอยล์)
ฉากสุดท้ายของซีรีส์ชวนให้สงสัยว่า Move to heaven (2021) อาจมีภาคต่อ เพราะด้วยเรื่องราวที่สามารถไปต่อได้ เช่น เหตุการณ์หลังจากที่ตำรวจบุกทลายสนามมวยใต้ดิน แต่เจ๊ที่เป็นเจ้าของไหวตัวทัน เลยคิดว่าเจ๊อาจจะกลับมาเอาคืนหรือมาล้างแค้นก็ได้ และฉากที่มีเด็กสาวที่มาส่งคำขอให้ฮันกือรูไปเก็บกวาดที่ห้องของตนเอง ซึ่งส่อว่าเด็กสาวคนนั้นกำลังจะตาย (อาจจะฆ่าตัวตาย) และเด็กสาวคนนี้ก็ดันทำให้ฮันกือรูของเราใจเต้นแรงอีก ดูไปก็คิดไปว่างานนี้นามูจะอกหักหรือเปล่า อย่างไรก็ตามในเรื่องของภาคต่อยังไม่มีข่าวออกมาแน่ชัดและคงต้องติดตามกันต่อไป

นอกจากการสะท้อนชีวิตในสังคมแล้ว Move to heaven (2021) ยังสอนเรื่องการก้าวผ่านความรู้สึกสูญเสีย ความเศร้า แผลในอดีตและการให้อดีต เหมือนเป็นการปลอบประโลมท่ามกลางความโหดร้ายที่เกิดขึ้นทุกวันว่ายังมีสิ่งดี ๆ เหลืออยู่ผ่านตัวละครที่มีจิตใจดีอย่าง ฮันกือรู โจซังกูและนามู เป็นซีรีส์อบอุ่นหัวใจดีเยี่ยมที่ควรดูซักครั้งในชีวิต

สรุป
Move to heaven (2021) เป็นซีรีส์อบอุ่นหัวใจที่ควรดูและห้ามพลาด ด้วยพล็อตที่แปลกใหม่ องค์ประกอบโดยรวมที่ดี ไม่ว่าจะเป็นภาพหรือเพลงประกอบที่สามารถทำให้อินไปกับเรื่องราว เชื่อว่าหากได้ดูเรื่องนี้แล้วทุกคนคงจะยิ้มแก้มปริและอิ่มเอมไปกับความอบอุ่นที่ได้จากซีรีส์เรื่องนี้แน่นอนค่ะ