ช่วงนี้มีหนังรักหนึ่งเรื่องที่ผมกำลังนึกถึง เป็นหนังที่ไม่ว่าจะดูกี่รอบก็ใหม่สำหรับผมอยู่เสมอ หนัง About Time คือหนังเรื่องที่ว่า และแน่นอน คุณสามารถดูหนังเรื่องนี้ได้แล้วใน Netflix เช่นกัน หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยความรัก เป็นการผสมผสานระหว่างความแฟนตาซีกับความโรแมนติกได้อย่างลงตัว อันที่จริงจะบอกว่าแฟนตาซีก็ไม่ได้ เพราะธีมหลักของหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องของ “ความรัก” ไม่ใช่แค่ในแง่ของรักหนุ่มสาว แต่หนังเรื่องนี้ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยรักหลายรูปแบบ แต่จะเน้นไปที่ความรักของครอบครัวและหนุ่มสาว ซึ่งผมอยากชวนทุกคนไปดูหนังเรื่องนี้ หากคุณกำลังมีความรัก หนังเรื่องนี้จะชี้ให้คุณเห็นถึงคุณค่า และคุณจะรัก อย่างที่คุณไม่เคยรักมาก่อน แต่หากคุณไม่มีรัก หนังเรื่องนี้กำลังจะบอกความลับสำคัญกับคุณ

หนัง About Time เป็นหนังสัญชาติอังกฤษ โดยผู้กำกับชาวอังกฤษ Richard Curtis ผู้ที่เคยฝากผลงานไว้กับหนังรัก Love Actually เมื่อปี 2003 เรื่องราวคร่าว ๆ เป็นเรื่องราวของ Tim (รับบทโดย Domhnall Gleeson) ในวันเกิดอายุ 21 ปี ได้ค้นพบความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในครอบครัวของเขาเอง จากปากของผู้เป็นพ่อ (รับบทโดย Bill Nighy) คือ ผู้ชายทั้งหมดในตระกูลของเขาสามารถที่จะย้อนเวลาได้ Tim ต้องตัดสินใจว่าจะใช้ความสามารถนี้ทำอะไรกับชีวิตของเขา แต่แค่เพียวอย่างเดียวเท่านั้นที่เขาควรทำ Tim ตัดสินใจว่าจะใช้ความสามารถนี้ในการตามหาสิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกที่เขาหวัง สิ่งนั้นคือ “รักแท้”

เรื่องราวของหนัง About Time เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งตามจีบผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่การเริ่มต้นความสัมพันธ์ของ Tim กับ Mary (รับบทโดย Rachel McAdam) การมีรัก ครอบครัว ความรักทั้งหมดที่อบอวลอยู่รอบ ๆ ตัว Tim หนังเรื่องนี้ไม่เพียงนำเสนอความรักในแง่ของรักหนุ่มสาวเพียงเท่านั้น หนังเรื่องนี้ยังบอกถึงคามลับแสนสำคัญในการใช้ชีวิต ความรักที่อาจสำคัญที่สุดในโลก การรู้จักรักตัวเอง การเห็นคุณค่าในตัวเอง การทำให้ทุกวันมีความสุข ผ่านชีวิตของ Tim ผ่านคำที่พ่อบอก ผ่านเรื่องราวของคนรอบ ๆ ตัว Tim

ความรักในครอบครัว เป็นความรักที่ถูกยกขึ้นมาที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ความรักรูปแบบไหน ผ่านเรื่องราวในวัยเด็กของ Tim ชีวิตที่มีครอบครัวที่น่ารัก พร้อมที่จะเปิดรับและรับฟังซึ่งกันและกัน นั่นเป็นสิ่งพิเศษที่สุดที่คนคนหนึ่งจะมีได้ ในหลายครั้งผู้เป็นพ่อไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ แต่พ่อมีวิธีสื่อสารที่น่าประทับใจ น่ารักใคร่ แม่ซึ่งเป็นผู้หญิงเก่ง และแข็งแกร่ง (รับบทโดย Lindsay Duncan) ดูแลครอบครัวนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย Kit Kat ผู้เป็นน้องสาว (รับบทโดย Lydia Wilson) และลุง Desmond ผู้เป็นตัวของตัวเอง (รับบทโดย Richard Cordery) ถึงหลายครั้งจะเจอเรื่องราวที่ยาก แต่ About Time กำลังจะบอกเราว่า เราจะผ่านมันไปได้ และมันจะเป็นแบบนั้นเสมอ ด้วยความรัก ความรักที่คนรอบตัวมอบให้กับเรา และเราก็ส่งมอบมันต่อให้คนรอบตัวด้วย สิ่งนี้เป็นหัวใจหลักของความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ

ผมจะขอยกฉากสุดประทับใจของหนังเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังกันครับ และจะไม่มีการสปอยล์แต่อย่างใด ฉากนั้นคือฉากที่เกือบจะอยู่ท้ายที่สุดของเรื่อง เป็นฉากการเดินเล่นริมทะเลระหว่าง Tim และผู้เป็นพ่อ ทั้งหมดมีเพียงเท่านี้ ทั้งสองเดินจูงมือกันบนหาดทรายสีทองภายใต้แสงแดดยามบ่ายแก่ ๆ บ้างก็วิ่งเล่นกัน เล่นปาก้อนหินกันริมหาด แล้วบอกคำสำคัญ เป็นคำที่ทั้งยิ่งใหญ่และแสนเรียบง่าย คำง่าย ๆ อย่างคำบอกรัก ที่ลูกชายคนหนึ่งได้กลั่นความรู้สึกแล้วบอกแก่ผู้เป็นพ่อ เพียงแค่นี้ก็ทำให้หัวใจของผู้ชมไปเกาะติดกับฉากนั้นได้ และสามารถเรียกอารมณ์ที่เก็บไว้ตลอดทั้งเรื่อง ออกมาปลดปล่อยได้เลยในฉากนี้ เรื่องราวก่อนหน้านั้นขอไม่บอก อยากให้คุณไปรับชมให้ได้ครับ

หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยหลักฐานแห่งการใช้ชีวิต ความรัก และมิตรภาพในแบบเพื่อน ชีวิตที่ไม่ต้องยี่หระกับเรื่องไม่สำคัญมากนัก แล้วหันมาใส่ใจสิ่งที่สำคัญกับชีวิตจริง ๆ นั่นคือ การให้ความสำคัญ การเห็นคุณค่าของคนที่คุณรัก และคนที่รักคุณ คุณต้องรับมันมาไว้ ซึมซับมัน เมื่อคุณซึมซับมันจนมันมาอยู่ในหัวใจคุณแล้ว คุณส่งต่อสิ่งนี้ให้ผู้อื่น ในเรื่องของความรักเช่นกัน ความรักที่ดีมีอยู่จริงในโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นความรักแบบไหน คุณมีคุณค่ามากพอ คุณดีพอ ที่จะได้รับความรักที่แสนพิเศษเหล่านี้ คนรักที่แสนพิเศษ ครอบครัวที่แสนพิเศษ และเพื่อนที่แสนพิเศษ เพื่อนที่ไม่จำเป็นต้องมีมากมาย แค่เพียงคนที่เห็นคุณค่า รักคุณในแบบที่คุณเป็น แค่นั้นก็เพียงพอกับคุณแล้ว หากคุณอยากได้หนัง Feel Good ที่จะทำหัวใจของคุณพองโต หรือหมดสิ้นซึ่งความหวังในความรัก อยากให้ลองดู About Time ครับ ก่อนจากผมขอทิ้งท้ายประโยคสำคัญของหนังเรื่องนี้ อาจใช้เป็นคำสำคัญในการดำเนินชีวิตที่แสนพิเศษของคุณครับ

“แล้วพ่อก็บอกสูตรลับของการค้นหาความสุข ส่วนแรกจากสองส่วน ผมควรจะใช้ชีวิตธรรมดาต่อไป..ใช้ชีวิตไปทีละวัน เหมือนคนอื่น ๆ เขา และส่วนที่สอง พ่อให้ใช้ชีวิตทุกวันอีกครั้งให้เกือบเหมือนเดิม ครั้งแรกให้อยู่กับความเครียดและกังวล ที่ทำให้เราไม่ทันสังเกตว่าโลกสวยงามแค่ไหน แต่ครั้งที่สอง ให้ซึมซับความงามนั้น”