อาจจะช้าไปซักหน่อยสำหรับการรีวิวหนังดังที่ถ้านับตั้งแต่วันฉายก็ผ่านมาแล้ว 3 ปี แต่ก็คงไม่ช้าเกินไปสำหรับความดีงามของหนังที่เรากำลังจะพูดถึงต่อไปนี้
Call me by your name (2017) ภาพยนตร์รักที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายของอันเดร อาซิแมน นักเขียนชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาลี โดยเป็นเรื่องราวความรักของ เอลิโอเด็กหนุ่มวัย 17 ปีกับโอลิเวอร์นักศึกษาวัย 24 ปี ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1983 ณ ประเทศอิตาลี เมื่อโอลิเวอร์นักศึกษาหนุ่มชาวอเมริกันที่เดินทางมาเพื่อช่วยพ่อของเอลิโอทำงานวิจัยเป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้เองที่เอลิโอได้รู้จักกับโอลิเวอร์และนั่นก็ทำให้เขาได้เรียนรู้และรู้จักรักแรกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกรักและหลงใหล

หนังได้ดำเนินไปอย่างราบเรียบแต่ทรงพลัง โทนของหนังสามารถช่วยผลักดันเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างโอลิเวอร์และเอลิโอได้เป็นอย่างดี ซึ่งเรื่องราวจะถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองของเอลิโอผู้ซึ่งรู้สึกประทับใจในตัวโอลิเวอร์อย่างไม่รู้ตัว เราจะได้เห็นและสัมผัสโอลิเวอร์ในมุมที่เอลิโอเห็นคือ มีเสน่ห์ น่าหลงใหล และเป็นที่รัก จนทำให้เอลิโอรู้สึกว่าโอลิเวอร์เป็นคนที่เขาไม่สามารถเอื้อมถึงได้ เอลิโอเป็นคนที่เก็บความรู้สึกและคิดมาก บทสนทนาระหว่างโอลิเวอร์จึงเป็นแนวโยนหินถามทางว่าถ้าพูดแบบนี้ไปแล้ว เขาจะตอบว่าอย่างไรนะ ซึ่งบทสนทนาของพวกเขาในช่วงนี้นั้น ส่วนตัวมองว่ามีเสน่ห์เพราะมีการเล่นคำพูด หยิบยกเรื่องราวรอบตัวหรือแม้กระทั่งวรรณกรรมมาพูดถึง ดูไปก็ลุ้นไปว่าเมื่อไหร่จะเข้าใจตรงกันซักที

สิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้คืองานภาพ ที่ดำเนินไปอย่างสมูท หนังจะถ่ายทอดฉากต่าง ๆ ได้อย่างมีเสน่ห์และน่าติดตาม ไม่ว่าจะเป็นฉากที่ตัวละครกำลังสุนทรีย์กับงานอดิเรกและบรรยากาศรอบข้างหรือฉากเศร้าที่สามารถทำให้เศร้าได้อย่างสุดอารมณ์ ฉากทุกฉากในหนังนั้นทำให้คนดูสามารถรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังชมภาพศิลปะหรืองานอาร์ต ถึงขั้นที่ว่าไม่มีช่วงไหนที่สามารถละสายตาไปได้เพราะงานภาพและมู๊ดของหนังที่ทำให้อยากนั่งดูซึมซับเรื่องราวจนจบเรื่อง

(สปอยล์)
สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องของความรู้สึกและความสัมพันธ์ที่หนังสื่อถึงคือความรักไม่ได้มีการแบ่งแยกเพศ ความรักก็คือความรัก ซึ่งครอบครัวเอลิโอเข้าใจในจุดนี้ เพราะครอบครัวของเขานั้นไม่ได้ตำหนิที่เอลิโอชอบโอลิเวอร์ซึ่งเป็นสิ่งที่พบเจอได้ยากในยุค 80 ที่การชอบเพศเดียวกันยังไม่เป็นที่ยอมรับ
บทสนทนาหนึ่งที่ชอบมากสำหรับหนังเรื่องนี้คือบทสนทนาระหว่างเอลิโอและพ่อมีใจความว่า “ไม่ต้องลืมความทรงจำที่เจ็บปวดหรอก เพราะในความเจ็บปวดนั้นก็มีความทรงจำดี ๆ อยู่” เป็นประโยคสั้น ๆ ที่กินใจมาก เพราะโดยส่วนใหญ่หากเราอกหัก เรามักจะอยากลืมมันให้หมดเพื่อที่จะได้ก้าวต่อไปข้างหน้า จนลืมเรื่องราวที่เป็นความทรงจำที่ดีที่เราควรเก็บไว้ เสียใจบ้าง มีความสุขบ้างเป็นเรื่องธรรมดาเพราะมนุษย์ยังมีหัวใจ และหัวใจนั้นเองคือสิ่งที่ทำให้เราสามารถสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาได้

(สปอยล์)
เอลิโอ : แม่ผมกำลังอ่านนิยายรักฝรั่งเศสเล่มหนึ่งสมัยศตวรรษที่ 16 เล่มหนึ่ง…
โอลิเวอร์ : เรื่องอัศวินที่ไม่รู้ว่าจะพูดหรือยอมตายใช่ไหม
เอลิโอ : ใช่
โอลิเวอร์ : แล้วสุดท้ายเขาพูดมั้ย
เอลิโอ : เจ้าหญิงบอกว่าควรพูด เธอเริ่มเคลือบแคลงและระแคะระคาย
โอลิเวอร์ : แล้วเขาพูดหรือเปล่า
เอลิโอ : ไม่
บทสนทนาโยนหินถามทางที่เหมือนเป็นประโยคบอกรักกลาย ๆ ที่ทำให้โอลิเวอร์รู้ความรู้สึกที่แท้จริงของเอลิโอ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเอลิโอคิดว่าโอลิเวอร์เป็นคนที่เขาไม่อาจเอื้อมถึง โดยเขาได้เปรียบเทียบให้ตนเองเป็นอัศวินและเปรียบโอลิเวอร์เป็นเจ้าหญิง ในขณะที่เอลิโอกล้า ๆ กลัว ๆ แต่เขาก็ยังสามารถพูดและแสดงออกได้อย่างมีความมั่นใจและการเอาวรรณกรรมที่แม่อ่านให้ฟังมาเปรียบเปรยยิ่งทำให้การบอกรักที่ไม่มีคำว่ารักของเอลิโอดูคลาสสิกและน่ารัก
หากจะมีส่วนไหนที่รู้สึกขัดใจ ก็อาจจะเป็นฉากที่โอลิเวอร์พูดว่า “call me by your name and I’ll call you by mine” เพราะสำหรับคนดูอาจจะไม่อินกับบทพูดบทนี้และอาจจะรู้สึกงงหน่อย ๆ แต่ถ้าหากลองมานั่งคิดดี ๆ ก็พอจะเข้าใจได้ว่าทั้งสองมีความรู้สึกที่มากกว่าความรัก รู้สึกราวกับว่าเป็นคนคนเดียวกัน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่พิเศษและลึกซึ้ง พอมาลองคิดถึงจุดนี้แล้วประโยตข้างต้นเป็นประโยคบอกรักที่ลึกซึ้งที่สามารถอธิบายความสัมพันธ์ของทั้งสองคนได้เป็นอย่างดี

ความดีงามของหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่นั้น นอกจากเนื้อเรื่องและงานภาพแล้ว นักแสดงก็ดีมากเช่นกันเพราะ อาร์มี แฮมเมอร์ที่รับบทเป็นโอลิเวอร์ก็ทำให้ตัวละครนั้นดูสมกับเป็นโอลิเวอร์ นอกจากหน้าตาที่ดึงดูดแล้ว การแสดงของเขายิ่งทำให้บทโอลิเวอร์ดูมีเสน่ห์และโดดเด่น ส่วนเอลิโอที่รับบทโดย ทิโมธี ชาลาเมต์ นั้นก็แสดงถึงความเป็นวัยรุ่นได้ดีที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว เป็นคนที่ดูมีบุคลิกที่ทั้งหล่อทั้งสวยในคนเดียวกัน

ความรู้สึกหลังดูเรื่องนี้จบก็รู้สึกว่า call me by your name เป็นภาพยนตร์ coming of age ที่ดีมากเรื่องหนึ่ง เพราะหนังไม่ได้ให้ความรู้สึกเศร้าหรือสุข แต่ให้ความรู้สึกที่อิ่มเอม เพราะการที่เอลิโอได้มีรักแรก รู้จักกับความรัก ความปรารถนา ความหลงใหลนั้นล้วนเป็นความทรงจำที่ดีที่ได้มอบความปรารถนาดีให้กับใครซักคน ความรู้สึกดีในช่วงวัยหนึ่งที่ทุกคนอาจอยากระลึกถึงเพราะมันเป็นไปอย่างธรรมชาติและตรงไปตรงมา
สิ่งแรกที่ทำหลังดูหนังจบคือการไปตามข่าวว่า call me by your name จะมีภาค 2 มั้ย คำตอบคือคงต้องติดตามกันต่อไป ทางอาร์มี แฮมเมอร์เคยให้สัมภาษณ์ว่าหนังได้จบในตัวมันเองอย่างสมบูรณ์ หากสร้างภาคต่อพวกเขาก็กังวลว่าอาจทำได้ไม่ดีเท่าภาคแรก แต่ถ้าหากใครอยากรู้เรื่องราวภาคต่อก็สามารถติดตามได้ในหนังสือเรื่อง Find me โดยนักเขียนคนเดียวกันได้ค่ะ