หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ตัวผมเองอยากดู ตั้งแต่ก่อนประกาศผลรางวัล Oscar แล้ว Judas and the Black Messiah ได้รับไปถึงสองสาขาเต็ม ๆ กับสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม โดย Daniel Kaluuya ในบทบาทของหัวหน้าคณะปฏิวัติ Fred Hampton และอีกรางวัลคือรางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม คือเพลง Fight For You โดยนักร้องมากฝีมือ H.E.R. อีกทั้งยังได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในอีกหลายต่อหลายสาขาด้วยกัน นับว่าเป็นหนังที่สร้างขึ้นมาล่ารางวัลเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

Judas and the Black Messiah เป็นหนังที่ถูกสร้างมาจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา เรื่องราวเกิดขึ้นใน Chicago ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 เป็นเรื่องราวของกลุ่มปฏิวัติ The Black Panther ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเรียกร้องสิทธิให้คนดำ เนื่องจากพวกเขาเหล่านี้ถูกตำรวจหรือแม้กระทั่งคนทั่วไปปฏิบัติด้วยความไม่เป็นธรรม ไม่เท่าเทียม ดูไปกลุ่มนี้ก็เหมือนกลุ่มที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเรียกร้องสิทธิมนุษยชนทั่วไป แต่ที่ไม่เหมือนคือ กลุ่ม The Black Panther นี้เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างจะใช้ความรุนแรง ดังนั้นจึงเป็นที่จับตาของหน่วยงานของทางรัฐ ตำรวจ และ FBI หนังเรื่องนี้ดำเนินเรื่องโดย Bill O’Neal (รับบทโดย LaKeith Stanfield) ถูกจับโดยข้อหาขโมยรถ เพื่อแลกกับการชดใช้ความผิด เจ้าหน้าที่ FBI Roy Mitchell (รับบทโดย Jesse Plemons) ได้ให้เขาเข้าไปเป็นสายสืบในกลุ่ม Black Panther ในที่สุดเขาก็ได้เข้าไปใกล้ชิดกับหัวหน้ากลุ่มผู้ทรงเสน่ห์อย่าง Fred Hampton (รับบทโดย Daniel Kaluuya) ผู้ที่เป็นเหมือนไฟโหมกระพือการปฏิวัติในครั้งนี้ ด้วยเสน่ห์ในการปลุกระดมคน ทำให้ได้เขาได้เริ่มมีความรักกับ Deborah Johnson (รับบทโดย Dominique Fishback) เรื่องราวของกลุ่ม Black Panther จะเป็นอย่างไร และ Judas อย่าง Bill จะเป็นอย่างไรต่อ กับการต้องทรยศ The Black Messiah อย่าง Fred อยากให้ทุกคนได้ไปดูด้วยตนเองครับ

ก่อนอื่นที่จะดูหนังเรื่องนี้ ที่จริงสามารถดูหนังเรื่องนี้ได้เลย แต่ผมอยากแนะนำสักนิด ว่าหากคุณมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาสักเล็กน้อย มีความรู้เรื่องการต่อสู้เรียกร้องสิทธิของคนดำนิดหน่อย รู้จักนักต่อสู้คนดัง อย่าง Martin Luther King (Doctor King) หรือรู้จักชื่อ Malcolm X หรือแม้แต่นักปฏิวัติในเรื่องเล็กน้อย การดูหนังเรื่องนี้น่าจะช่วยให้อิน และเข้าใจตัวละครได้มากขึ้นเยอะเลยครับ และเนื่องจากหนังเรื่องนี้เป็นการนำหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของอเมริกามาเล่า ผมคิดว่าคนอเมริกาน่าจะรู้ถึงเรื่องราวเหล่านี้กันเยอะแล้ว จะบอกว่าทำมาขายเหล่าอเมริกันชนก็ได้เหมือนกัน แต่เราในฐานะคนดูหนัง การเสพเรื่องาวเหล่านี้ นอกจากช่วยให้รู้ประวัติศาสตร์แล้ว ยังสนุกและได้ซึมซับตัวละครอย่างเต็ม ๆ ได้ด้วยนะครับ

สำหรับผมแล้วงานเรื่อง Judas and the Black Messiah ผมมีโอกาสได้ดูสองรอบ ในรอบแรก การดูหนังเรื่องนี้ช่วงแรก ๆ เป็นอะไรที่ค่อนข้างช้าไปสักนิด ข้อขัดแย้งและปมปัญหาใหญ่ ๆ ในเรื่องถ่ายทอดออกมาไม่ได้แยบยลนัก เพราะเหมือนกับเรารู้กันอยู่แล้วด้วย (เนื่องจากเรื่องนี้เป็นประวัติศาสตร์) ตัวละครสำคัญอย่างหัวหน้ากลุ่มปฏิวัติอย่าง Fred Hampton เรียกได้ว่ามีเสน่ห์บวกกับความเดือดดาลอยู่ข้างในอย่างที่กลุ่มปฏิวัติควรจะเป็น อีกตัวละคร Deborah Johnson ก็เป็นตัวละครที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงแกร่งคนหนึ่งที่ดีเลยครับ เดี๋ยวผมจะเล่าในประเด็นนี้ต่อไป เนื้อเรื่องช่วงกลางถึงช่วงท้ายของเรื่องถึงจะพออิน และดันให้เราเข้าไปมีส่วนกับเรื่องนี้ได้ครับ แต่เหมือนพยายามเล่าทุกอย่างให้มาจบที่ตอนสุดท้าย ซึ่งสำหรับผมเป็นตอนท้ายที่มีพลังพอสมควร การหยิบนำ footage จริงที่ใช้ในสารคดีมาใช้ในหนัง และหยิบเอาเรื่องราวหลังจากนั้นมาเล่าอีก ตรงนี้เองที่ผมชอบและทำให้ขนลุกได้เลยครับ

การดูหนังเรื่องนี้รอบที่สอง รอบนี้ยิ่งทำให้ผมเข้าใจตัวละครขึ้น โดยเฉพาะตัวละครหลักอย่าง Bill O’Neal เขาเป็นคนดำ การที่ FBI จะทำให้เขาเชื่อแบบไหนว่ากลุ่ม Black Panther เลวร้ายอย่างไร สุดท้ายแล้วคนที่เข้าไปอยู่ในจุดจุดนั้นคือตัวเขาเอง เขาย่อมรู้ดีที่สุด การซึมซับพลังและวิถีแห่งคนดำทำให้ในใจลึก ๆ ของเขาก็อยากที่จะเข้ามามีส่วนในการปลดแอกครั้งนี้ แต่ความกลัว ความวิตก ก็เข้าครอบงำ ตรงนี้ผมว่า LaKeith Stanfield แสดงออกมาได้เห็นภาพและดีงามอย่างมากครับ ต่อมาจะพูดถึงตัวละครสำคัญอีกหนึ่งอย่าง Deborah Johnson ด้วยความรักของเธอกับ Fred เธอจึงได้ให้กำเนิดทารกในครรภ์หนึ่งคน นั่นทำให้เธอได้อยู่ในบทบาทการเป็นแม่คน ที่ต้องคอยปกป้องลูกน้อยและหวังให้เขาเกิดมาในสังคมที่เท่าเทียมกันมากที่สุด เธอยังมีบทบาทในการเป็นนักปฏิวัติ นักต่อสู้เพื่อสิทธิของคนดำ เธอเชื่อว่าตอนนี้อยู่ในภาวะสงคราม ดังนั้นเธอจึงสามารถตายได้เสมอ อีกบทบาทที่เธอได้รับ คือบทบาทการเป็นเมีย การเป็นเมียของนักสู้ นักปฏิวัติ ที่เป็นที่หมายหัวของตำรวจและ FBI สามารถที่จะตายได้ตลอด และอยู่ในจุดที่เสี่ยงที่สุด เขาได้ยอมสละชีวิตไปแล้ว แล้วคนที่จะมายืนข้าง ๆ เขาที่คิดแบบนั้น Deborah ต้องแข็งแกร่งขนาดไหน

หนังเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงประเด็นหลัก ๆ คือ การต่อสู้ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเข้ากับบริบทสังคมปัจจุบันเป็นอย่างมาก มันเป็นความผิดหรือเพียงแค่เราต้องการชีวิตที่เป็นชีวิต มีสิทธิและเสรีภาพขั้นพ้นฐานที่ควรจะมี วิธีการของคนกลุ่มนี้อาจจะดูรุนแรง แต่เราก็ต้องยอมรับก่อนว่า สิ่งที่กลุ่มคนเหล่านี้ รวมทั้งคนทั้งโลกที่ต่อสู้เพื่อสิทธิขั้นพื้นฐานเหล่านี้ต้องการ เพียงแค่ให้คนอื่น ๆ รวมทั้งกลุ่มผู้มีอำนาจมองเห็น เข้าอกเข้าใจในความแตกต่าง ยอมรับซึ่งกันและกัน เพียงแค่นี้เองที่พวกเขาต้องการ อีกประเด็นขอยกให้กับตัวแทนของผู้หญิง Deborah Johnson ที่รับบทโดย Dominique Fishback ที่ดูเหมือนว่ากำลังมาแรงเลย การเห็นความสำคัญของผู้หญิงเป็นสิ่งที่จำเป็น การต้องแบกรับเรื่องหนักหนาในหลาย ๆ บทบาท คือหนึ่งในความแข็งแกร่งของผู้หญิง
สำหรับตัวผมเอง หนังเรื่องนี้สามารถดูได้หลายรอบ และเป็นหนึ่งในหนังดีที่…ดูก็ดีครับ ไม่ดูก็ดี หากเป็นการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ก็ดี หากอยากซึมซับอารมณ์ก็ดีครับ อยากให้ลองดูกัน ตอนนี้ฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์ แต่ยังน้อยโรงอยู่ หนังรางวัลแบบนี้หากมีโอกาสได้ฉายเยอะ ๆ ก็น่าจะดีนะครับ