Babysitter: killer queen (2020) ภาพยนตร์แนวคอมเมดี้-สยองขวัญ ที่เป็นภาคต่อของภาพยนตร์เรื่อง Babysitter เมื่อปี 2017 ซึ่งเป็นภาคต่อที่ให้ความรู้สึกดรอปจากภาคแรกไปพอสมควร เน้นความคอมเมดี้เหมือนเดิม ความเชื่อมโยงของเนื้อเรื่องที่เพิ่มาใหม่ค่อนข้างดี แต่การดำเนินเรื่องไม่ดึงดูดให้ดูต่อ ซึ่งแล้วแต่คนชอบว่าชอบดูคอมเมดี้แนวนี้หรือไม่

เรื่องย่อ
Babysitter: killer queen (2020) ภาพยนตร์แนวสยองขวัญ-คอมเมดี้ กำกับโดยผู้กำกับคนเดิม (McG) ที่มีผลงานกำกับภาพยนตร์ เช่น นางฟ้าชาลี Charlie’s Angels 2003, Rim of the world 2019 เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับ Netflix Original Content เช่น Tall Girl 2019 , Holidate 2020 เป็นต้น โดยเรื่องราวในภาคนี้จะเป็นภาคต่อของโคลด์ในอีกสองปีต่อมา โดยเขาพยายามเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสองปีก่อน แต่ไม่มีใครเชื่อเขาเลย มิหนำซ้ำผู้คนรอบตัวยังคิดว่าเขามีปัญหาทางจิต จนเขาต้องไปพบจิตแพทย์ แต่แล้วในวันหนึ่งเหตุการณ์เดิมก็กลับมาหาโคลด์ เมื่อฆาตกรแก๊งเดิมกลับมาอีกครั้ง แถมยังมีเพื่อนของเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งด้วย! โคลด์จึงต้องหาทางหลบหนีจากฆาตกรทั้งหลายและความโชคร้ายอีกครั้ง
รีวิว
หลังจากที่ดูภาคแรกจบก็ต่อด้วยภาคสองเลย โดยไม่ได้ศึกษาเนื้อเรื่องหรือดูรีวิวใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนตัวมองว่า Babysitter: killer queen (2020) ดรอปกว่าภาคแรกเยอะมาก ๆ รู้สึกตัวละครต่าง ๆ ที่มีทั้งใหม่และเก่าไม่มีเสน่ห์และดูไม่ค่อยมีมิติ (นอกจากเมลานีกับบี) ฉากไล่ล่าไม่ค่อยมีความน่าสนใจ แต่ไม่ถึงกับว่าดูไม่ได้ ส่วนตัวสนใจในนักแสดงหลักและมุกตลกที่ใส่เข้ามา ซึ่งเป็นมุกตลกที่เชื่อมโยงกับภาคแรก บางจุดก็ฮามาก ส่วนตัวชอบในเรื่องพล็อตเพิ่มเติมที่ใส่เข้ามาซึ่งไม่มีในภาคแรก โดยเนื้อเรื่องในภาคนี้จะอธิบายเกี่ยวกับที่มาของผู้ล่าทุกคนว่ามีที่มาอย่างไร รวมถึงเหตุผลที่ต้องนับถือลัทธิบูชาซาตาน รวมถึงที่มาของบีด้วยเช่นกัน ซึ่งในภาคนี้ตัวละครต่าง ๆ ก็ตายง่ายเช่นเดิม ในส่วนของความสยองขวัญ จะไม่มีความสยองขวัญเลย คือเป็นฉากสยองขวัญที่ไม่น่ากลัว เหมือนจะเป็นฮากที่ทำเอาฮามากกว่า โดยรวมสามารถดูได้แต่อย่าคาดหวังกับภาคสองเยอะเกินไป เพราะเป็นภาคต่อที่มีมู๊ดคนละแบบกับภาคแรก เพราะว่าสามารถเดาทางได้ว่าเรื่องราวจะดำเนินไปทางไหน มีความคล้ายกับภาคแรกแต่มีความน่าสนใจน้อยกว่า เป็นภาพยนตร์ที่แล้วแต่ความชอบของตัวบุคคลว่าจะชอบหรือไม่
(สปอยล์)

ความประทับใจ
ภาคสองไม่มีอะไรให้พูดถึงมากมาย ส่วนตัวรู้สึกประทับใจภาคแรกมากกว่าภาคสอง โดยแก่นของภาคแรกจะเป็นเรื่องที่โคลด์สามารถก้าวข้ามความกลัวของตัวเองไปได้ เนื่องจากเข้าได้ผ่านเรื่องราวที่เหลือเชื่อมา แต่ในภาคสองก็ได้มีการอธิบายว่าไม่มีใครเจอศพของชาวลัทธิเลย และทุกคนมองว่าเรื่องที่โคลด์เล่าเป็นเรื่องเหลวไหล ส่วนเมลานีที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ไม่ช่วยโคลด์ด้วย โดยความประทับใจในภาคสองก็คล้ายกับภาคแรกที่ประทับใจในเรื่องของบทโคลด์ ที่ยังคงทำให้โคลด์เป็นตัวละครที่มีความเป็นตนเอง ก็คือเป็นเด็กเนิร์ด เงียบ ๆ (ซึ่งคนอื่นจะมองว่าแปลก) เพิ่มเติมที่การที่ทุกคนมองว่าเขาบ้า โดยเขาก็ยังคงเป็นเด็กดีที่ตั้งใจเรียนและโตกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ทำอะไรแปลก ๆ ซึ่งแตกต่างกับเมลานีที่มีเพื่อน ๆ และใช้ชีวิตโลดโผนแบบวันรุ่นทั่ว ๆ ไป ซึ่งเป็นการเริ่มเรื่องที่เหมือนภาคแรกที่จะเริ่มด้วยดราม่าชีวิตของโคลด์ จากนั้นต่อด้วยการไล่ล่า และจุดถลี่คลายเรื่องราว ก่อนที่จะกลับไปที่เรื่องราวดราม่าระหว่างโคลด์ บีและฟีบี้
ซึ่งก็มีส่วนให้ตื่นเต้นนิด ๆ ในความเซอร์ไพรส์เล็ก ๆ ในช่วงแรกของภาพยนตร์ คือการที่หนึ่งในเพื่อนของพระเอก (เมลานี) เป็นหนึ่งในชาวลัทธิด้วย ส่วนโคลด์ก็ซวนซ้ำซ้อนเหมือนหนังเก่าฉายซ้ำ แอบขำตรงที่มีไตเติ้ลขึ้นว่า “what the f*** again” ส่วนตัวรู้สึกว่าฉากไล่ล่าดูไม่น่าสนใจ ไม่น่าตื่นเต้นและไม่น่าติดตาม แต่ก็มีส่วนเนื้อเรื่องเพิ่มเติมที่อธิบายที่มาและจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งอย่างน้อยก็มีที่มาอธิบายให้หายงงว่าตกลงแล้วเรื่องราวมันเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดเรื่องราวก็จบแบบ Happy Ending เนื่องจากทุกคนเข้าใจผิดว่าโคลด์บริสุทธิ์ (แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่)
End Credit
ในส่วนของ End Credit ที่ขึ้นมาอาจจะสื่อเป็นนัยว่าอาจจะมีภาคสาม (ยังจะมีต่ออีกเหรอ นึกว่าจบแล้ว) โดย End credit จะเป็นซีนที่คัมภีร์ของลัทธิบูชาซาตานอันเก่าแก่ของบียังไม่ถูกเผาหรือทำลาย ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะมีภาคสามต่อ โดยอาจจะมีคนมาพบคัมภีร์นี้และทำการสังเวยชีวิตมนุษย์เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการอีกก็ได้ โดยตัวละครที่เป็นฆาตกรไล่ล่าอาจจะไม่กลับมาแล้วหากมีภาคต่อ เนื่องจากโดนเผาไปหมดแล้ว (หรืออาจจะกลับมาก็ได้) ซึ่งก็น่าคิดว่าหากมีภาคต่อโคลด์จะยังเป็นคนที่โดนไล่ล่าอีกหรือไม่ เพราะโคลด์ไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาโดนไล่ล่าได้คือการที่ผู้บูชาลัทธิต้องการให้เขาเป็นผู้สังเวย อย่างไรก็ตามในขณะนี้ยังไม่เห็นข่าวของภาคสาม
สรุป
Babysitter: killer queen (2020) ภาพยนตร์แนวสยองขวัญ-คอมเมดี้ เป็นภาคต่อที่มีเนื้อเรื่องและตัวละคนเข้ามาเพิ่มเติมในส่วนของที่มาของชาวลัทธิและจุดเริ่มต้นเรื่องราวทั้งหมด ส่วนตัวมองว่าเรื่องคอเมดี้ก็ทำออกมาได้ไม่แย่ แต่เรื่องการไล่ล่าซึ่งเป็นเนื้อเรื่องส่วนใหญ่ ค่อนข้างจะยืดเยื้อและไม่น่าสนใจ โดยสามารถติดตามดูได้ที่ Netflix ใช้เวลาในการรับชมประมาณ 1 ชั่วโมง 25 นาที