เดอะ เบบี้ซิตเตอร์ The Baby Sitter (2017) ภาพยนตร์สยองขวัญ – คอมเมดี้ ที่นอกจากจะโดดเด่นเรื่องนักแสดงแล้ว พล็อตเรื่องก็ยังมีความน่าติดตามและน่าสนใจที่ตัวละครเอก ว่าจะเอาตัวรอดและหนีจากฆาตกรทั้งห้า (ที่หนึ่งในนั้นเป็นพี่เลี้ยงคนสนิท) ได้อย่างไร

เรื่องย่อ
เดอะ เบบี้ซิตเตอร์ (2017) เป็นเรื่องราวของ “โคลด์” ที่ต้องอยู่บ้านกับพี่เลี้ยงที่ชื่อว่า “บี” เนื่องจากพ่อแม่ของเขาไปออกทริป ซึ่งบีก็มาทำหน้าที่ดูแลโคลด์ตอนที่พ่อแม่ของเขาไม่อยู่บ้านตลอด โคลด์เป็นเด็กที่โดนรังแกที่โรงเรียนอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากภาพลักษณ์ที่ดูอ่อนแอ ขี้กลัวและไม่สู้คน ทำให้โคลด์ไม่มีเพื่อนเลย เมื่อบีปฏิบัติกับโคลด์เหมือนเพื่อนคนหนึ่ง เลยทำให้โคลด์รู้สึกสนิทกับบี แต่แล้วเขาก็พบว่าบีพาเพื่อนมาปาร์ตี้ที่บ้าน และฆ่าหนึ่งคนในกลุ่มเพื่อสังเวยให้กับซาตาน โคลด์จึงต้องหนีเอาตัวรอดจากฆาตกรทั้งห้าให้ได้ โดยระหว่างการหลบหนีนั้นมีทั้งความฮา ความตื่นเต้นและลุ้นไปพร้อมกับตัวละคร ทำให้สามารถดูภาพยนตร์เวลา 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ได้โดยไม่เบื่อ
รีวิว
เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่ดูโดยไม่ได้ดูตัวอย่างมาก่อน แต่ก็พอได้ฟังรีวิวมาจากเพื่อนบ้างว่าภาพยนตร์ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ทำให้ใจชื้นและกล้าที่จะเปิดดู เมื่อดูไปซักพักก็พบว่า ไม่น่ากลัว แถมยังเป็นแนวสยองขวัญ คอมเมดี้ ที่ไม่ได้เน้นความสยองขวัญเท่าไหร่ เป็นมิตรกับผู้ชมที่ไม่ใช่สายสยองขวัญแต่ชอบความกวน ๆ และคอมเมดี้ พล็อตเรื่องดูน่าสนใจและสามารถติดตามไปได้เรื่อย ๆ อาจจะไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้นมาก จะเป็นแนวกวน ๆ และไม่สามารถเดาอะไรได้เพราะทุกเรื่องอยู่เหนือความคาดหมาย (อาจจะเดาได้ในเรื่องของจังหวะ Jump Scare) ด้วยความที่ภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ระหว่างเส้นบาง ๆ ของความสมเหตุสมผลกับความบ้าแบบกวน ๆ และไม่สมเหตุสมผล ด้วยความที่ภาพยนตร์มาแนวนี้ก็ไม่ควรถามหาความสมเหตุสมผล ทำให้ดูไปก็คิดไปว่าอะไรกันเนี่ย ซึ่งเป็นสิ่งที่ชอบมาก โดยสามารถเห็นอะไรแนว ๆ นี้ได้จากหนังหลายเรื่อง สิ่งที่ดีที่สุดคือการนั่งชิลและเอ็นจอยไปกับภาพยนตร์
สิ่งที่ประทับในเรื่องนี้คือ ความฮา ความกวน และความดราม่าที่มีอยู่ประปราย ทำให้ภาพยนตร์มีมิติมากขึ้น รวมทั้งตอนจบที่เป็นปริศนา สามารถนำไปทำภาคต่อได้อย่างสบาย ๆ (ภาพยนตร์เรื่องนี้มีภาคต่อเมื่อปี 2020) เป็นภาพยนตร์ที่สามารถนั่งดูชิล ๆ ได้ด้วยไม่เครียด (แนะนำว่าอย่าพกสมองมาดูด้วย!)
(สปอยล์)

ความกาวและความคอมเมดี้
อย่าถามหาความสมเหตุผลสมผลจากเรื่องนี้ เพราะมันไม่มี (อยากจะหัวเราะดัง ๆ เติมเลขห้าต่อท้ายหลาย ๆ ตัว) ทั้งตัวละครแต่ละตัวที่ค่อนข้างจะมีความบ้าและความเก๋ในตัวเอง (แต่ตายง่าย) เมื่อดูไปซักพักก็จะเริ่มจับจุดได้ว่าภาพยนตร์จะมาแนวไหน ด้วยความที่ดูแค่ตัวอย่าง ไม่ได้หาข้อมูลก่อนดู ตอนแรกที่มาดูก็ทำใจมาแล้วว่าต้องเป็นแนวระทึกขวัญ สยองขวัญแน่ ๆ เพราะตัวอย่างมาแบบเลือดสาด แต่เมื่อเริ่มเรื่องมาซักพักก็เริ่มรู้แนวทาง ว่าเป็นแนวสยองขวัญที่ไม่ได้สยองขนาดที่ว่าน่ากลัวอะไรมากมาย จะเป็นแนวสยองขวัญคอมเมดี้มากกว่า จึงต้องปรับอารมณ์ตามให้ทัน ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าฉากคอมเมดี้ มุกตลกต่าง ๆ รวมถึงฉากโบ๊ะบ๊ะต่าง ๆ ทำออกมาได้ฮามาก สามารถขำในฉากที่ไม่ควรขำได้ รู้สึกชอบฉากแรก ๆ ที่ข้อความขึ้น “what the f***” ซึ่งยังมีฉากขำ ๆ อีกมาก แถมยังมาถี่ ๆ ด้วย เช่น ฉากที่โคลด์พยายามตัดเชือกจากข้างหลัง แต่ทุกคนเห็นเพราะมีกระจกวางอยู่ , คำถามแรกเมื่อโคลด์ตื่นขึ้นมาคือ “ทำไมเขาไม่ใส่เสื้อ” ซึ่งจนจบเรื่องก็ยังไม่ได้คำตอบว่าทำไม แม็กซ์ต้องถอดเสื้อ ซึ่งมันคือความรู้สึกเมื่อดูถึงตอนนั้นเลยเพราะว่าโคลด์เป็นเด็กที่ซวยซ้ำซวยซ้อน ทั้งโดนแกล้งที่โรงเรียน โดนล้อ แถมยังต้องมาเจอกับแก๊งฆาตกรในบ้านอีก
ส่วนตัวประทับใจตรงที่พล็อตเรื่องปูมาให้โคลด์รอดมาได้อย่างหวุดหวิด เพราะทำให้รู้ว่าโคลด์ไม่ตายแน่ ๆ นอกจากโชคช่วยแล้ว ตัวละครโคลด์ดูฉลาดมากในการเอาตัวรอด ทั้งการสรรหาอุปกรณ์ การพูดโน้มน้าว แอบคิดว่าถ้าเป็นตัวเองในอายุเดียวกันกับโคลด์อาจจะคิดไม่ได้ถึงขนาดนี้
อีกหนึ่งฉากที่ประทับใจคือฉากจบที่โคลด์หันมากบอกพ่อแม่ว่า “ผมไม่ต้องการพี่เลี้ยงเด็กอีกแล้วนะ” แล้วก็ปิดแบบเท่ ๆ ว่าเขาสามารถผ่านเรื่องราวมาเยอะ และสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว
ถ้าพิจารณาในเรื่องคอมเมดี้ เป็นภาพยนตร์คอมเมดี้ที่น่ามาก ๆ แต่ถ้าพิจารณาในเรื่องสยองขวัญ ก็เป็นแนวสยองขวัญที่คนดูทั่วไปสามารถรับชมได้ ไม่ได้น่ากลัว (ผู้เขียนไม่ภาพยนตร์สยองขวัญ)
ความแปลกของโคลด์
ด้วยบุคลิกเด็กเนิร์ดและไม่สู้คนของโคลด์ ทำให้เขาถูกมองว่าเป็นพวกอ่อนแอและขี้กลัว เลยถูกแกล้งอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่มีเพื่อน (นอกจากเมลานี) และไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม การที่บีปฏิบัติกับโคลด์อย่างเท่าเทียมและเหมือนกับว่าเขาเป็นเพื่อนคนหนึ่ง นับว่าเป็นหนึ่งในฉากซึ้ง (ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นโหมดสยองขวัญคอมเมดี้) โคลด์เองก็ได้พูดว่า “ขอบคุณที่เข้าใจ และทำเหมือนผมไม่เป็นอะไร …. คือว่า ผมก็อยากไม่รู้สึกอะไร ผมรู้สึกแปลก ๆ ตลอดเวลา” ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการเข้าใจความรู้สึกและคาแรกเตอร์ของตัวละครโคลด์ที่โดนแกล้ง ไม่ได้รับการยอมรับ การที่เขาได้รับการยอมรับจากบีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับโคลด์มาก ๆ ซึ่งในช่วงท้าย ๆ โคลด์ได้บอกกับบีว่าเขารักบี ซึ่งน่าจะหมายถึงความสัมพันธ์แบบเพื่อนหรือแบบพี่เลี้ยง (หรือเปล่านะ)

สรุป
เดอะ เบบี้ซิตเตอร์ The Baby Sitter (2017) ภาพยนตร์สยองขวัญ – คอมเมดี้ ที่ค่อนข้างบ้ามาก ๆ ทั้งสนุก ทั้งฮา ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเรื่องราวจะไปทางไหน เพราะมีแต่เรื่องเกินความคาดหมาย (ประมาณว่าเอาแบบนี้จริงดิ) โดยรวมแล้วเป็นภาพยนตร์ที่ฮาตลอดทั้งเรื่อง พล็อตเรื่องน่าติดตามและฉากสยองขวัญอยู่ในระดับที่คนไม่เคยดูหนังสยองขวัญรับได้ สามารถรับชมได้ใน Netflix เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 25 นาที โดยภาพยนตร์เรื่องนี้มีภาคต่อชื่อว่า The Babysitter : Killer queen โดยสามารถรับชมผ่าน Netflix ได้เช่นเดียวกัน โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที