JoJo Rabbit เป็นหนังหนึ่งเรื่องที่ผมอยากดูมานานแล้ว เพราะในช่วงปีที่ออกฉายนั้น (2019) หนังเรื่อง JoJo Rabbit นี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลมากมายถึง 192 รางวัล บวกกับยังคว้ารางวัลมามากถึง 48 รางวัลอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นรางวัล Best Adapted Screenplay ของ OSCAR ปี 2020 Best Screenplay (Adapted) และ Best Supporting Actress ของ BAFTA Awards ปี 2020 และอีกมากมายนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังเป็นหนังประวัติศาสตร์ที่นำมาเล่าในมุมมองใหม่ ในรูปแบบของหนังชวนหัว กับการตีแผ่ประวัติศาสตร์จริง ๆ อันแสนโหดร้าย ดังนั้น JoJo Rabbit จึงเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจมากเลยทีเดียว วันนี้ผมมีโอกาสได้ดูหนังเรื่อง JoJo Rabbit นี้ จึงอยากชวนทุกคนมาดูหนังเรื่องนี้กันครับ

JoJo Rabbit เป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงยุคนาซีเรืองอำนาจ หรือในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้ผู้นำพรรคนาซีในช่วงนั้น Adolf Hitler (Taika Waititi) คนทั้งโลกต่างรู้จักชายคนนี้ ในฐานะเผด็จการผู้เหี้ยมโหด และผู้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่แสนโหดร้าย นี่คือเรื่องราวของเด็กเยอรมันขี้เหงา Jojo (Roman Griffin Davis) เด็กน้อยวัย 10 ขวบ ที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนาซีผู้พิชิต รับใช้ชาติ และปราบปรามเหล่าศัตรูให้สิ้น โดยเขามีเพื่อนในจินตนาการคือ Adolf Hitler, Jojo อาศัยอยู่กับ Rosie ผู้เป็นแม่ (Scarlett Johansson) เพียง 2 คน และแล้ววันหนึ่งเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเขาพบว่ามีเด็กสาวชาวยิวชื่อ Elsa (Thomasin McKenzie) ที่เขา (ถูกบอกให้) เกลียด แอบอาศัยอยู่ในบ้านของเขาเอง

อย่างที่บอกว่าหนังเรื่อง JoJo Rabbit เป็นหนังที่เล่าถึงเรื่องราวของประวัติศาสตร์จริง ๆ ในยุคสาครามโลกครั้งที่ 2 และในเยอรมันที่นาซีเรืองอำนาจ เราเคยดูหนังที่เกี่ยวข้องกับอะไรแบบนี้นี้อยู่หลายต่อหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Schindler’s List, Inglourious Basterds หรือที่ดรามาสุด ๆ ก็อย่าง The Boy in the Striped Pyjamas แต่หนังส่วนใหญ่จะตีแผ่ความโหดร้ายของนาซีเหล่านี้ มาในรูปแบบของหนังดรามา แต่ JoJo Rabbit แตกต่างออกไป ผู้กำกับ Taika Waititi ได้ตีแผ่เรื่องราวประวัติศาสตร์นี้ในรูปแบบของหนังชวนหัว มีความตลกอยู่ข้างในพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความโหดร้ายที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ทำให้เรื่อง JoJo Rabbit นี้กลายเป็นเรื่องตลกร้ายไปโดยปริยาย ดังนั้นจะบอกว่าการดู JoJo Rabbit จะทำให้คุณตลกและไม่เครียดก็ดูเกินจริงไปเสียหน่อย เพราะไม่ว่าอย่างไรหนังเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นหนังประวัติศาสตร์ ที่ตีแผ่ความโหดร้ายของโลก ผ่านสายตาของ Jojo ที่เป็นเพียงเด็กอายุ 10 ขวบคนหนึ่ง

เนื่องจาก JoJo Rabbit เป็นหนังที่เล่าผ่านสายตาของเด็กอายุ 10 ขวบ สายตานั้นเป็นสายตาที่บริสุทธิ์ แต่ถึงอย่างนั้น ก็เป็นสายตาที่ถูกแต่งเติมโดยรัฐ ที่ทำให้เราได้เห็นค่านิยมที่รัฐพยายามปลูกฝังให้คนในยุคนั้นคิดอย่างไร และปฏิบัติอย่างไรกับคนกลุ่มหนึ่ง (ในที่นี้หมายถึงคนยิว) เราอาจเคยได้ยินเรื่องความโหดร้าย ไม่ว่าจะเป็นการที่ คนเยอรมันในยุคนั้นบางกลุ่มปฏิบัติต่อคนยิว หรือเรื่องค่ายกักกันต่าง ๆ JoJo Rabbit ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น ยังคงตีแผ่ออกมาให้เราได้เห็นมุมมองเหล่านี้ แต่มาในรูปแบบที่เบาลงเสียหน่อย (จะว่าเบาก็ไมถูกเสียทีเดียว)

นอกเหนือจากนักแสดงนำ Roman Griffin Davis ที่รับบทเป็นต่ายน้อย Jojo แล้ว อีกคนกับบทบาทที่สำคัญที่ผมขอชื่นชม คือบทบาท Rosie ผู้เป็นแม่ของนักแสดง Scarlett johanson เพราะไม่ค่อยเห็นเธอกับบทบาทแบบนี้สักเท่าไหร่นัก หรือผมอาจติดภาพเธอจากฮีโร่ของ Marvel ก็ไม่รู้ แต่เธอทำออกมาได้ดีจริง ๆ ทำเอาผมลืมภาพของฮีโร่สาวไปเสียจนหมดสิ้น เหลือไว้แต่เพียงผู้เป็นแม่ ผู้ที่ยังคงมีความหวังกับโลกใบนี้ และทำให้เข้าใจบริบท หรือวิธีคิดของคนกลุ่มหนึ่งในยุคนั้นได้ ช่วงนี้ต้องยอมรับว่า เธอเล่นดีจริง ๆ ครับ

ใน JoJo Rabbit ยังมีฉากที่ทำให้เราประทับใจอยู่มาก อย่างฉากหนึ่งซึ่งเป็นฉากที่ปรากฏอยู่ทั้งเรื่องและไม่พูดถึงไม่ได้ ชื่อฉากผูกเชือกรองเท้า ไม่น่าเชื่อว่าฉากแบบนี้ ซึ่งมีสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง กลับทำให้เรา ทั้งซาบซึ้ง และใจสลายไปได้พร้อมกัน ทั้งการที่ Rosie ผูกเชือกรองเท้าให้ Jojo, Jojo ผูกเชือกรองเท้าให้ Rosie หรือแม้แต่ Jojo ผูกเชือกรองเท้าให้ Elsa ทั้งหมดถึงแม้จะเป็นฉากเดียวกัน แต่ทั้งหมดล้วนมีบริบทแตกต่างกัน และมีความหมายโดยนัยต่างกันอยู่มาก สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละบุคคล

สิ่งที่ JoJo Rabbit กำลังจะบอกเรา ก็คงเป็นเรื่องที่เราคุ้นชินกันและได้ยินกันมานานแสนนาน อย่างการเปรียบเปรยเด็กน้อยว่าเปรียบเสมือนผ้าขาว ไม่ว่าคุณจะแต่งเติมสีใด ๆ ให้เขา เขาก็จะมารับมาหมด และเป็นไปตามสีที่คุณแต่งแต้ม แต่กับ Jojo ผมว่าต่างไปสักหน่อย ไม่แน่ Jojo อาจเป็นตัวแทนของเด็กหลาย ๆ คน ที่เกิดมาในครอบครัวผู้ที่มีแม่เป็นแบบอย่างและมอบความรักอย่างเต็มที่ แม้ว่าจะถูกรัฐปลูกฝังมาแบบนั้น แต่ Jojo ก็ยังคงมีความดีงาม และความเข้าอกเข้าใจคนอยู่ไม่น้อย สิ่งนี้เป็นสิ่งที่โลกไม่ว่ายุคไหนก็ต้องการ เพื่อทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น

ไม่ว่าอย่างไร ผมว่าคุณควรดู JoJo Rabbit นะครับ มันทำให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ ผ่านสายตาอีกแบบ ต่อเรื่องราวเดิมที่เราอาจจะเคยเห็นมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ถึง JoJo Rabbit จะตีแผ่เรื่องราวอันแสนโหดร้าย แต่ด้วยตัวหนังแล้วช่างงดงามครับ