มีรายงานว่า หนังเรื่อง Cruella หนังเรื่องหนึ่งที่นับว่าเป็นหนังที่ยิ่งใหญ่แห่งปี ดูเหมือนจะข้ามการฉายในโรงหนังทั้งหมด และเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบในสตรีมมิงแบบ Exclusive แทน

Emma Stone, Joel Fry, and Paul Walter Hauser in Cruella

ในที่สุด Disney ก็ได้ตัดสินใจให้หนังเรื่อง Cruella ฉายเฉพาะในบริการสตรีมมิง Disney+ เท่านั้น มีบางประเทศเท่านั้นที่ยังคงฉายในโรงหนัง หนังเรื่อง Cruella นี้นำแสดงโดย Emma Stone กับหนังที่ดูเหมือนเป็นหนังภาคต้นของหนัง 101 Dalmations กับการเล่าเรื่องของวายร้ายสุดคลาสสิกตัวหนึ่งของ Disney เอง นับว่าเป็นคลื่นลูกใหม่ และเป็นไอเดียใหม่ของ Disney ที่จะนำเอาเรื่องเล่าสุดคลาสสิกของตนมาดัดแปลงใหม่ หนังเรื่อง Cruella ถ่ายทำในปี 2019 แต่เดิมมีกำหนดเข้าฉายในเดือนธันวาคม 2020 ต่อมาก็ถูกเลื่อนเป็นวันที่ 28 พฤษภาคม 2021 เพื่อจะได้ฉายในช่วงวันหยุดของอเมริกา และจะเข้าฉายใน Disney+ ในระบบ Premier Access ในวันเดียวกันนี้ด้วย

หนังเรื่อง Cruella นี้เอง กับหนังเรื่อง A Quiet Place: Part II จึงถูกนับเป็นคู่แข่งกันโดยปริยาย เนื่องจากวันฉายอยู่ในช่วงสุดสัปดาห์เดียวกัน และนับว่าเป็นหนังเปิดศกใหม่ หลังจากการที่โรงหนังได้ปิดมานาน จากการระบาดใหญ่ในครั้งนี้ ทำให้บรรดาโรงหนังต้องปิดตัวลงในปี 2020 ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่จนถึงตอนนี้หนังเรื่อง Cruella ก็ยังเป็นหนังที่ทำเงินอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันทำรายได้ทะลุ 82 ล้านเหรียญใน Box Office ในประเทศ และรายได้รวม 266.1 ล้านเหรียญจากทั่วโลก หนังเรื่อง Cruella นี้ได้กลายเป็นหนังอันดับต้น ๆ ในช่วง Summer แซงหน้าหนังใหญ่ ๆ หลายเรื่องด้วยกัน เช่น The Suicide Squad, Space Jam: A New Legacy และ In The Heights ส่วนในสตรีมมิงของตนเองอย่าง Disney+ ยังไม่ได้เปิดเผยรายได้จากส่วนนี้เลย แต่ถึงอย่างนั้น ความสำเร็จครั้งนี้ก็มากพอที่จะทำให้ Cruella ครองใจสตูดิโอ และมีภาคต่อต่อไป ด้วยฝีมือการแสดงของนักแสดง Emma Stone

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าทาง Disney เกือยจะพลาดการเป็นผู้ทำเงินสูงสุดเจ้าหนึ่งใน Box Office ของปีนี้เลย จากข้อมูลของ THR รายงานว่า ในระหว่างช่วงของการถ่ายทำหนังเรื่อง Cruella นี้ ไม่นานก็เกิดการระบาดใหญ่ครั้งนี้ขึ้น นั่นทำให้ทาง Disney ตัดสินใจจะทุ่มเทให้กับโปรเจกต์ที่จะฉายทางสตรีมมิง Disney+ เท่านั้น ส่วนโปรเจกต์หนังโรง ก็จะทำการจ่ายเงินชดเชยให้กับบุคลากร และทีมงานของโปรเจกต์นั้น ๆ ไป รวมถึง Cruella นี้ด้วย แต่นักแสดงหนัง Emma Stone และผู้กำกับ Craig Gillespie ปฏิเสธเงินก้อนนั้น เลือกที่จะซื่อสัตย์กับโปรเจกต์ของตนและคนดู สุดท้าย Disney จึงตัดสินใจใช้รูปแบบของไฮบริด คือฉายทั้งในโรงและสตรีมมิงเสียเลย

Emma Thompson in Cruella

แต่ล่าสุด Disney ต้องการที่จะให้หนัง Cruella นี้ ฉายเฉพาะในสตรีมมิง Disney+ เท่านั้น แทนที่จะฉายทั้งในโรงและในสตรีมมิง เหมือนกับหนังรีเมคที่นำมาทำ Live-Action หลายต่อหลายเรื่อง ในปี 2019 ทาง Disney ได้เปิดตัวหนังถึง 4 เรื่องที่เป็น Live-Action รีเมคในโรงหนัง ได้แก่ Dumbo, Aladdin, The Lion King และ Maleficent: Mistress of Evil เรียกได้ว่าเป็นงานที่อยู่ในยุครุ่งเรืองของ Disney เลยก็ว่าได้ (เรียกว่ายุค Disney Renaissance) อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ Beauty and the Beast ในปี 2017 ในขณะที่หนังเรื่อง Dumbo ทำผลงานได้ไม่ดีใน Box Office ส่วน Maleficent ถึงแม้ว่าภาคแรกจะทำรายได้ได้ค่อนข้างดี แต่ภาคสองดูเหมือนจะไม่ดีนัก ยังมีงานรีเมคอีกเรื่องหนึ่งที่ปล่อยเฉพาะในสตรีมมิง คือเรื่อง Lady and the Tramp ดูเหมือนว่าจากรายชื่อต่อไปนี้ Dumbo, Sleeping Beauty และ Lady and the Tramp จะเป็นงานแอนิเมชันที่มาจากยุคทองของ Walt Disney เลยก็ว่าได้

ในการประชุมนักลงทุน D23 ในเดือนธันวาคม 2020 ที่ผ่านมานี้ ได้มีการยืนยันว่า หนัง Pinocchio ของ Robert Zemeckis และ Peter Pan and Wendy ของ David Lowery ทั้งสองเรื่องจะเป็นหนังที่จะฉายเฉพาะในสตรีมมิง Disney+ เท่านั้น ในขณะที่หนัง The Little Mermaid ยังคงเข้ารอบ มีกำหนดเข้าฉายในโรงหนัง ดูเหมือนว่าในตอนนี้ ทาง Disney จะมองว่า การนำหนังเรื่องก่อน ๆ มารีเมคใหม่เป็นอะไรที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ในขณะเดียวกัน การนำงานของ Disney ที่อยู่ในยุค Disney Renaissance มารีเมคเป็นอะไรที่เวิร์ค และสร้างรายได้ให้กับ Disney ได้มากกว่า แน่นอนว่า Cruella ก็เป็นหนึ่งในหนังที่ไม่ได้อยู่ในยุค Disney Renaissance หากแต่อยู่ยุค Disney Classic ซึ่งบรรดาหนังแนวนี้ค่อนข้างมีความเสี่ยงมากกว่า นี่เป็นเหตุผลที่ Disney ตัดสินใจลำบาก ที่จะให้หนังเรื่องนี้ฉายในโรง แต่แล้ว โรงหนังที่เขาไม่คิดจะเอาหนังเรื่องนี้ไปฉายนี่เอง ก็ได้ทำรายได้ให้กับ Disney มากพอสมควร มากพอที่หนังเรื่อง Cruella นี้จะมีภาคต่อเลยทีเดียว ต้องรอดูกันว่า Disney จะใช้ประโยชน์อะไรจากหนังภาคแรก หรือปรากฏการณ์จากหนังภาคแรกนี้หรือไม่อย่างไร แต่ก็เช่นเดียวกับหนังรีเมคที่มีการสร้างภาคต่อหลาย ๆ เรื่อง อาทิ Maleficent: Mistress of Evil และ Alice Through the Looking Glass ซึ่งดูเหมือนว่าหนังภาคแรกจะทำได้ดีกว่า และผู้คนก็ชอบมากกว่ามาก