ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมอยู่บ้านเยอะเป็นพิเศษครับ เลยมีโอกาสได้หยิบหนังเก่า ๆ ขึ้นมาดูบ้าง หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ผมดูตั้งแต่สมัยยังไม่กี่ขวบ ในตอนนั้นเป็นช่วงวัยเด็ก ช่วงที่ยังซึมซับสิ่งที่อยู่ในหนังได้ไม่มากเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ ผมได้หยิบหนังเรื่องเดิมนั้นกลับมาดูซ้ำ เพิ่งจะได้รับรู้ว่า หนังเรื่องนี้มันทำงานกับหัวใจของผมอย่างมาก มันบอกเล่าทั้งเรื่องราวในอดีตที่ชวนฝัน บอกเล่าเรื่องราวปัจจุบันที่เราต้องก้าวข้าม หลายคนในยุคของผมน่าจะรู้จักหนังเรื่องนี้ครับ กับหนังเรื่อง Bridge to Terabithia สะพานมหัศจรรย์

Bridge to Terabithia เป็น Coming of Age เรื่องเยี่ยมในปี 2007 ของ Disney เนื้อเรื่องจะว่าด้วยเรื่องของเด็กหนุ่ม ขี้อาย Jess Aarons (รับบทโดย Josh Hutcherson) ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวชนชั้นกลางที่ค่อนไปทางไม่ค่อยมีนัก พ่อของเขาต้องทำงานหนัก แม่ของเขาต้องเลี้ยงดูเขาและพี่สาวน้องสาวอีก 3 คน ทางบ้านจึงเต็มไปด้วยความเครียด ไม่กี่สิ่งที่ช่วยยึดเหนี่ยว Jess คือน้องสาวสุดที่รัก as May Belle Aarons (รับบทโดย

Bailee Madison) และการวาดรูป โลกที่แสนน่าเบื่อของ Jess ได้เปลี่ยนไป เมื่อ Leslie Burke (รับบทโดย AnnaSophia Robb) เด็กหญิงที่ย้ายมาใหม่ มาเรียนห้องเดียวกับ Jess เธอแตกต่างจาก Jess โดยสิ้นเชิง เธอเป็นตัวของตัวเอง มีอิสระ เปรียบเสมือนโบยบินไปได้ทั่วทุกที่บนโลก สามารถทำได้ทุกสิ่งที่ต้องการ อีกทั้งเธอยังย้ายมาอยู่ข้างบ้านของ Jess ด้วย นั่นทำให้ทั้งสองได้กลายมาเป็นเพื่อนกัน เธอได้พา Jess เข้าไปสู่อาณาจักรแห่งเวทมนตร์ที่มีชื่อว่า Terabithia, Jess คือราชา Leslie คือราชินี และนี่คือเรื่องราวของทั้งสอง

ก่อนอื่นผมต้องบอกเลยว่า ตอนเด็ก ๆ ผมมีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้หลายรอบมาก มันเป็นเพียงแค่หนังที่มีความแฟนตาซีตามสไตล์ของหนังเด็ก ๆ อาจจะมีดรามานิดหน่อย แต่มันก็เป็นแค่นั้นครับ พอมาวันนี้ ผมได้กลับมาดูหนังเรื่องนี้อีกรอบ มันกลับทำงานกับจิตใจของผมอย่างที่สุด นอกเหนือจากการผจญภัยและการปกป้องอาณาจักร Terabithia แล้ว Bridge to Terabithia ยังพาเราไปพบกับมิตรภาพ ความรัก และความจริงบนโลกอันแสนโหดร้ายนี้ ยิ่งดูก็ยิ่งนึกว่า นี่มันใช่หนังสำหรับไว้ให้เด็กดูจริงเหรอ

เนื้อเรื่องของ Bridge to Terabithia ไม่ใช่เรื่องราวของการผจญภัย และต่อสู้กับเหล่าสัตว์สุดแสนแฟนตาซีอย่างที่ผมในตอนเด็กคิด รายละเอียดตรงนั้นอาจจะมีบ้าง แต่หากเทียบกันแล้ว หนังเรื่องนี้ นำความแฟนตาซีมาเป็นเพียงส่วนประกอบเล็ก ๆ เท่านั้น ที่จะนำมาเล่าเรื่องราวจริง ๆ ของหนังเรื่องนี้ ที่ค่อนข้างมีความจริงอยู่มากเลยทีเดียว การพาเราไปติดตามชีวิตของเด็กเก็บตัวคนหนึ่ง ที่บ้านก็ไม่ได้มีอะไรมาก อยู่ที่โรงเรียนก็โดนรังแก ในที่สุดเด็กสาวคนหนึ่งก็เข้ามาเปลี่ยนชีวิตเขา พาเขาเข้าไปสู่โลกอีกโลกหนึ่ง หากเราแบบนี้ก็ดูเหมือนว่าหนังเรื่องนี้จะมีความแฟนตาซีอยู่มากเลยทีเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับเป็นหนังที่มีความรามาอย่างถึงที่สุด ดังนั้น หากใครต้องการหาความแฟนตาซีจากหนัง Bridge to Terabithia ไม่ตอบโจทย์คุณเลยครับ แต่หากใครต้องการหนังดรามาที่สะท้อนถึงชีวิต และการก้าวผ่านช่วงเวลายากลำบากของเด็กคนหนึ่ง Bridge to Terabithia ตอบโจทย์คุณอย่างแน่นอนครับ

ตัวละครที่จะขอพูดถึง เป็น 2 ตัวละครหลัก อย่าง Jess ตัวละคร Jess เป็นเด็กที่ค่อนข้างเก็บตัว ในหัว Jess มีสิ่งมากมายให้คิด ด้วยความที่ครอบครัวเหมือนไม่ใช่สถานที่ของเขา สิ่งแวดล้อมไม่อำนวย Jess มองว่า ผู้เป็นพ่อไม่ได้ให้ความรักกับเขามากนัก กลับกัน น้องสาวกลับได้ความรักมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงรักน้องของเขา วันหนึ่ง Leslie ก็เข้ามาในชีวิตของเขา Leslie นั้นต่างจาก Jess โดยสิ้นเชิง เธอมีอิสระ เป็นเด็กช่างจินตนาการ โลกของเธอเต็มไปด้วยความสดใส เธอเป็นตัวแทนของความรักและความสุขบนโลกใบนี้ บนโลกที่แสนโหดร้าย โลกใบเดียวกันกับ Jess สองตัวละครนี้เป็นสองตัวละครที่สะท้อนมุมมองของโลกได้เป็นอย่างดี

Bridge to Terabithia เป็นหนังประเภทที่เรียกว่าหนัง Coming of Age โดยแท้ เนื้อแท้ในหนังเรื่องนี้มองได้สองแบบสำหรับผม แบบแรกก็คือ อาณาจักร Terabithia นั้นมีอยู่จริง เด็กสองคนนี้พาเราไปรู้จักกับอาณาจักรนี้ มันเปรียบเสมือนสถานที่ ที่เอาไว้ปลอบโยนเราจากโลกอันแสนโหดร้ายนี้ และต้องการจะบอกเราว่า หากเธอกำลังทุกข์ใจ เศร้าใจ หรือไม่สบายใจสิ่งไหน ขอแค่เธอเข้ามาในอาณาจักร Terabithia แห่งนี้ แล้วมันจะไม่เป็นอะไร แบบที่สองก็คือ อาณาจักร Terabithia นี้ไม่เคยมีอยู่ อย่างน้อยก็ในโลกแห่งความเป็นจริง มันอยู่ในจินตนาการของ Leslie สุดท้ายจินตนาการนั้นถูกส่งต่อมาให้ Jess มีประโยคที่ Leslieบอกกับ Jess ว่า “เธอจะต้องปิดตา แล้วเปิดหัวใจให้กว้าง แล้วเธอจะมองเห็น” มันกำลังบอกกับเราว่า บางครั้งการอยู่ในโลกของตนเอง โลกในจินตนาการอันแสนงดงามนั้น ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร บางครั้งโลกจริงนั้นแสนโหดร้าย การหลบเข้ามาในอยู่ในที่ปลอดภัยนี้ ที่คอยปลอบโยน ที่คอยอยู่ข้าง ๆ เมื่อเรามีความทุกข์ ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เมื่อเรามีแรงเพิ่มขึ้นอีกสักนิด เราค่อยกลับไปเผชิญโลกแห่งความเป็นจริง และเดินต่อไปขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่

โดยสรุปแล้ว หนังเรื่อง Bridge to Terabithia นี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นจริงอันแสนโหดร้าย และจินตนาการอันแสนงดงาม ที่นำมารวมกันได้อย่างลงตัว แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะเก่าแล้ว แต่จะดูกี่ครั้งก็ยังทราบซึ้ง เขาว่ากันว่า หนังสือเล่มเดิม หรือหนังเรื่องเดิม หากเราได้เสพในช่วงชีวิต ช่วงเวลาที่แตกต่างกัน มันย่อมได้อะไรใหม่ ๆ เสมอ อยากให้ทุกคนลองหยิบหนังเก่า ๆ มาดู แล้วคุณจะพบอะไรใหม่ เหมือนที่ผมได้พบจาก Bridge to Terabithia นี้ครับ