ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมนึกถึงหนังเก่า ๆ หลายเรื่องครับ หนึ่งในนั้นเป็นเรื่องที่เรียกได้ว่าสะท้อนสังคมในบริบทปัจจุบันได้ดีเยี่ยม In Time คือหนังเรื่องนั้น งานนี้เป็นงาน Sci-Fi ที่แฝงไปด้วยปรัชญา และความคิดอยู่เยอะ อีกทั้งยังเป็นการสะท้อนสังคม ในหลายเรื่องที่มีอยู่ในสังคมทั่วไป ไม่ว่าจะในอดีต จนถึงปัจจุบันก็ยังคงมีให้เห็นอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลก และน่าสนใจอย่างมาก วันนี้ผมจะพาทุกคนมาดูหนังเรื่องนี้กันอีกสักรอบครับ

In Time หนังที่ว่าด้วยเรื่องของโลก โลกที่เงินทองหาได้มีค่าไม่ สิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกคือสิ่งที่เรียกว่า “เวลา” มันเป็นสิ่งที่เราแลกเปลี่ยนกันเพื่อใช้แทนเงินตรา ทำงานหาเช้ากินค่ำเพื่อแลกกับเศษเวลาเพียงน้อยนิด เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ การเจริญเติบโต หรือก็คืออายุทุกคน จะหยุดอยู่ที่ 25 ปี หลังจากนั้น คุณจะสามารถอยู่ได้อีกหนึ่งปี นอกเสียจาก คุณจะทำการซื้อเวลาชีวิตของคุณ คนที่ร่ำรวยคือคนที่มีเวลาเหลือเฟือในโลกใบนี้ ถึงกับเรียกได้ว่า บางคนสามารถที่จะเป็นอมตะได้เลย กลับกันคนที่ยากจนคือคนที่ทำงานยากลำบาก แลกกับเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น บ้างก็มีอาชญากรรม การขโมยเวลาเพียงเล็กน้อย เพื่อให้ตนเองอยู่รอดไปอีกวัน

เรื่องราวเริ่มขึ้นที่ตัวละครหลัก Will Salas (รับบทโดย Justin Timberlake) ซึ่งดูเหมือนจะใช้ชีวิตเหมือนปกติในทุกวัน เนื่องจากเป็นบุคคลที่อยู่ในชนชั้นล่าง จึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อต่อเวลาชีวิตของตนและแม่ Rachel Salas (รับบทโดย Olivia Wilde) เหตุการณ์เกิดขึ้นในขณะที่เวลาของแม่ใกล้จะหมด Will ได้บังเอิญไปช่วยชีวิตชายคนหนึ่งจากอันธพาลที่คอยปล้นเวลา ชายคนนั้นจึงตอบแทน Will ด้วยการมอบเวลากว่าร้อยปีให้เขา แล้วจบชีวิตตนเองลง หลังจากเหตุการณ์นี้นี่เอง เรื่องราวทั้งหมดก็ได้เริ่มต้นขึ้น

หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่มีการดำเนินเรื่องตามแบบของหนัง Action Sci-Fi ทั่วไป ไม่ได้มีอะไรใหม่มากนัก การที่ตัวเอกของเรื่องเกิดขึ้นมาในสังคมหรือกลุ่มที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด ค่อนข้างยากลำบาก เกิดปาฏิหาริย์กับเขา ทำให้ได้รับสิ่งพิเศษใด ๆ บางอย่างมา แต่แล้วความโชคร้ายดันเกิด ทำให้ต้องเผชิญกับเหตุการณ์สุดเลวร้ายบางอย่าง แต่เหตุการณ์นั้นดันทำให้เจอตัวเอกอีกคนที่อยู่ในชนชั้นที่สะดวกสบาย แต่กลับร่วมมือกันทำเรื่องที่จะปลดแอกชนชั้นทางสังคม ทำลายระบบสังคมเก่าที่ผู้มีอำนาจครอบครองทรัพยากรทั้งหมดไว้ (ในที่นี้คือ เวลา) ทำให้สังคมเกิดความเท่าเทียมกันมากขึ้น

จากที่กล่าวมา เนื้อเรื่องสำหรับผมเองเรียกว่าธรรมดา แต่สิ่งที่ไม่ธรรมดา คือสิ่งธรรมดา ที่แฝงอยู่ในเนื้อเรื่องนั่นเอง การต่อสู้ระหว่างคนที่เรียกได้ว่าเป็นคนชายขอบ ถูกสังคมมองข้าม กับระบบสังคมที่ยิ่งใหญ่ ที่มันครอบคนทั้งหมดเอาไว้ ความไม่เป็นธรรมของระบบ เทียบกับคำศัพท์สมัยนี้ เราเรียกมันว่า “ความเหลื่อมล้ำ” คนจนดิ้นรนแทบตาย ทำงานเหนื่อยยาก เพียงเพราะว่าอยากได้เพียงเศษเวลา มาต่อชีวิตของพวกเขาในแต่ละวัน ในทางกลับกัน คนรวยที่มีทรัพยากรเวลาอยู่มากมายแล้ว ไม่ต้องพยายามในการทำสิ่งใด เพียงแค่สำราญกับชีวิตอมตะของตนเอง โดยไม่หันมาสนใจ หรือใส่ใจชนชั้นล่าง บริบทสังคมแบบนี้ในหนังเปรียบได้กับสังคมในปัจจุบันหลายสังคมเลยทีเดียว

ตัวละครหลักของเรื่อง Will Salas ก็เป็นไปตามขนบของหนังแนวนี้ เป็นคนที่ยากจนแต่จิตใจดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น รักในความถูกต้อง ยุติธรรม แต่ถึงอย่างนั้น ก็จำเป็นต้องเอาตัวรอด และมีความเจ้าเล่อยู่ในที ซึ่งบุคลิกดังกล่าว สำหรับผมเองก็ไม่ได้ไม่ชอบแต่อย่างใด หากแต่มันอาจจะขาดเสน่ไปบ้าง ในทางด้านตัวเอกฝ่ายหญิง Sylvia Weis (รับบทโดย Amanda Seyfried) คนนี้ยิ่งหนัก ส่วนตัวมองว่าขาดมิติ เป็นเพียงแค่หญิงสาวที่อยู่ในครอบครัวมั่งคั่ง สุดท้ายต้องจับพลัดจับผลู เข้าร่วมกับพระเอก ซึ่งพอมาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องเป็นไปตามแบบแผนนั่นเอง

อย่างที่ว่ามาครับสำหรับผมแล้วหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สนุก ดูเพลินดี ไม่ได้หวือหวามากนัก แต่สิ่งที่ดีของหนังเรื่องนี้ คือสารที่ผู้สร้างหนังต้องการส่งถึงเรา ต้องการสะท้อน และบอกถึงปัญหาที่แท้จริง ในหลาย ๆ สังคม ไม่ว่าจะอย่างไรก็ดี การเรียนรู้สิ่งใด ๆ จากหนัง หรือสื่อบันเทิงที่เราเสพ นั่นเป็นสิ่งที่เราในฐานะคนดูหนังควรทำ นอกจากดูเพื่อความบันเทิง การดูหนังในเชิงลึกก็สำคัญเหมือนกัน เราดูเพื่อที่จะได้เห็น ความเป็นไปที่แท้จริงของโลก จากนั้นนำมันมาปรับใช้ เพื่อให้โลกของเรา หรือสังคมดำเนินไปได้ อย่างปกติสุขที่สุด สำหรับในบ้านเรา สามารถหาหนังเรื่องนี้ดูได้แล้ว ใน HBO Go ครับ