W รักข้ามมิติ (2016) ซีรีส์เกาหลีแนวโรแมนติกดราม่าแฟนตาซี ที่พล็อตซับซ้อนบวกกับความ ดราม่าแบบจัดเต็มทำให้ W รักข้ามมิติเป็นหนึ่งในลิสต์ซีรีส์ที่ควรดู (ถึงแม้จะเสียดายตอนจบก็ตาม) โดยสามารถติดตามชมได้ทาง Netflix

เรื่องย่อ

W รักข้ามมิติเป็นเรื่องราวของคังชอล (รับบทโดย อี จงซ็อก) พระเอกของการ์ตูนชื่อดังซึ่งเขียนโดย โอ ซองมู (รับบทโดย คิมอึยซอง ) ในการ์ตูนคังชอลเป็นตัวเอกที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ในตอนแรกชีวิตของเขารุ่งโรจน์เพราะเป็นนักกีฬายิงปืนที่ชนะการแข่งขันเอเธนส์โอลิมปิกปี 2004 แต่ต่อมาครอบครัวของเขาถูกฆาตกรรมทำให้คังชอลต้องติดคุกและเป็นแพะรับบาปในคดีที่เขาไม่ได้ก่อ ต่อมาเขาได้พยายามดิ้นรนจนสามารถเป็นประธานบริษัทและมีธุรกิจเป็นของตนเอง ในวันหนึ่งโอ ซองมูนักเขียนการ์ตูนได้หายตัวไปจากห้องทำงาน โอ ยอนจู (รับบทโดย ฮัน ฮโยจู) นางเอกซึ่งเป็นแพทย์ประจำบ้านและเป็นลูกของเขาได้ตามหาเขาแต่แล้วโอ ยอนจูก็หลุดเข้าไปในการ์ตูนและเข้าไปช่วยคังชอลซึ่งโดนแทงโดยผู้ร้าย ความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงที่มาพร้อมกับสถานการณ์ที่ยากเกินอธิบายของคังชอลกับโอยอนจูจึงได้เริ่มต้นขึ้น

รีวิว

ในเรื่องของภาพรวมของซีรีส์ W รักข้ามมิติ (2016) ด้วยความเป็นซีรีส์โรแมนติกแฟนตาซีโทนภาพจึงค่อนข้างฟุ้ง ๆ และสีสดใส (แต่ไม่ฟุ้งเท่า GOBLIN) ความรู้สึกหลังจากดูซีรีส์ในช่วงแรกจะเป็นความรู้สึกตื่นเต้นผสมกับความรู้สึกแปลกใหม่ด้วยเพราะพล็อตเรื่องที่มีปมปริศนาเยอะ ทำให้ลุ้นว่าเรื่องราวจะดำเนินไปในทิศทางใด รวมถึงในช่วงต้นเรื่องจะมีฉากโรแมนติกและความเป็นซีรีส์รักทำให้หากเทียบกับช่วงอีพีกลางจะมีความโรแมนซ์มากกว่า และด้วยความโก๊ะและความน่ารักของนางเอกเองบวกกับพระเอกที่มีนิสัยราวกับหลุดมาจากในการ์ตูน (ซึ่งก็เป็นตัวการ์ตูนจริง ๆ ) ทำให้เคมีดูเข้ากันและลงตัว ในช่วงอีพีกลาง ๆ จะมีความดราม่าค่อนข้างเยอะและปมที่เริ่มขมวดแน่นได้ถูกคลายไปเรื่อย ๆ แต่เมื่อปมเก่าคลายไป ปมใหม่ก็เข้ามาแทนที่ เรียกได้ว่ามีอะไรให้น่าตื่นเต้นตั้งแต่อีพีแรก ๆ และพอถึงอีพีกลาง ๆ ก็ยังคงรักษาระดับความตื่นเต้นไว้ได้อยู่ แต่ในช่วงอีพีกลาง ๆ นี้จะมีความดราม่ามากถึงมากที่สุด ฉากโรแมนติกที่เคยมีได้หายไป (อาจโผล่มาบ้างแค่พอวับ ๆ แวม ๆ ) มีความหน่วงความดราม่าเข้ามาแทนที่จนบางครั้งเผลอคิดไปว่านี่มันซีรีส์ดราม่าชัด ๆ โดยมีเหตุการณ์ต่าง ๆ แทรกเข้ามา เมื่อเรื่องได้ดำเนินมาเรื่อย ๆ จนใกล้จบก็พบว่าเป็นซีรีส์ที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลย มีเรื่องให้แปลกใจอยู่ตลอดจนเมื่อถึงช่วงท้ายที่คนดูต่างคาดหวังถึงการเฉลยปมที่ค้างคาและตอนจบที่เข้าถึงอารมณ์ แต่หากถามว่าซีรีส์จบดีมั้ยก็คงต้องตอบว่าจบดี แต่จบแบบให้ความรู้สึกแบบรีบจบเกินไป การดำเนินเรื่องราวดูรีบและรวบรัด ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์ของบทและตัวละครได้เท่าที่ควร รวมทั้งการดำเนินเรื่องในช่วงท้ายที่มีความหน่วงและดราม่าติดต่อกันหลายตอน เมื่อถึงตอนจบก็คือจบเลย จบแบบงง ๆ และจบแบบแฮปปี้โลกสดใส ทำให้ปรับอารมณ์ในตอนจบไม่ค่อยจะทัน หากเป็นไปได้อยากให้เรื่องจบแบบเคลียร์กว่านี้ เข้าถึงอารมณ์มากกว่านี้  โดยส่วนตัวรู้สึกว่าไม่ค่อยประทับใจกับความรีบจบ ดูไปก็มีความรู้สึกว่า “เอ้าจบแล้วเหรอ! เอาแบบนี้จริงดิ” แต่ประทับใจในส่วนของตอนจบที่คลายปมหลักใหญ่ ๆ ได้หมด แม้ว่าปมบางส่วนบังคับให้คนดูไปคิดต่อเอาเอง ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าซีรีส์ค่อนข้างที่จะสวิงอารมณ์คนดูด้วยพล็อตที่ซับซ้อนมีปมและเหตุการณ์ที่หลากหลายที่เหนือความคาดหมาย ถ้าหากซีรีส์ยืดเวลาจบออกไปอีกซักนิด (อาจจะมีจำนวนตอนมากกว่านี้อีกซักสองถึงสามตอน) ก็อาจจะทำให้ซีรีส์สามารถจบลงได้อย่างสมบูรณ์แบบและเข้าถึงอารมณ์ได้ดียิ่งขึ้น

(สปอยล์)

มีทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับโลกของ W ว่าสรุปแล้ว W เป็นโลกในการ์ตูนหรือเป็นโลกคู่ขนานที่เชื่อมโยงผ่านการ์ตูนและคอมของโอ ซองมูกันแน่ (ยิ่งพูดยิ่งงง) ถ้ามองว่า W คือโลกการ์ตูนที่โอ ซองมูวาดขึ้น ก็จะมีข้อสงสัยอย่างหนึ่งว่าทำไมในตอนแรกอยู่ ๆ คังชอลสามารถบังคับการกระทำของตนเองได้ทั้ง ๆ ที่โอซองมูเขียนให้คังชอลกระโดดสะพานเพื่อฆ่าตัวตายแต่เขากลับจับราวสะพานเอาไว้ (เป็นตอนนี้เองที่คังชอลตัวเอกในการ์ตูนเริ่มมีชีวิตและตัดสินใจเองได้) จากนั้นก็มีเรื่องแปลก ๆ ที่การ์ตูนวาดเองโดยที่โอซองมูไม่ได้วาด ทำให้โอ ซองมูเริ่มมีด้านมืดในจิตใจและคิดที่จะฆ่าคังชอลเพราะคิดว่าเป็นปีศาจและคิดว่าคังชอลเป็นตัวการ์ตูนไม่ได้มองว่าคังชอลเป็นมนุษย์ (ในมุมมองของนักเขียนมองว่าโอ ซองมูก็ไม่ผิดที่อยากให้เรื่องราวแปลก ๆ จบโดยการวาดให้ตัวเอกตาย) แต่กลับกลายเป็นว่าเรื่องราวซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ จนตามไม่ทันและกลายเป็นว่าสิ่งที่โอ ซองมูทำนั้นย้อนกลับมาหาตัวเขาเอง

หากมองว่าเป็นโลกคู่ขนานที่เชื่อมผ่านการ์ตูนก็จะสมเหตุสมผลในส่วนที่ว่าทำไมคังชอลสามารถตัดสินใจเองได้ (การไม่ยอมโดดสะพาน ส่วนตัวมองว่าเป็นการต่อสู้ที่จะไม่เป็นไปตามโชคชะตาที่มอบความผิดหวังให้) ในส่วนเรื่องราวของคังชอลทั้งหมดก็อาจจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่แล้วในอีกโลก การที่โอ ซองมูพยายามฆ่าคังชอลในการ์ตูนของเขาจึงทำไม่สำเร็จเพราะเขาไม่สามารถควบคุมเรื่องราวชีวิตของคังชอลได้เหมือนกับที่ราไม่สามารถควบคุมชีวิตใครในโลกจริง ๆ ได้ ส่วนเรื่องของความแฟนตาซีต่าง ๆ ที่สื่อชัดว่าเป็นโลกการ์ตูนก็อาจเป็นไปได้ว่าเป็นตัวกลางในการเชื่อมสองโลกเข้าด้วยกัน

เรื่องราวเบื้องหลังของ W จริง ๆ แล้วเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบได้ ทฤษฎีที่กล่าวมาข้างต้นก็เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น วิธีที่จะสรุปเรื่องราวของ W ได้แบบง่ายต่อการอธิบายและการเข้าใจมากที่สุด อาจจะสามารถอธิบายได้ว่า “มันเป็นโชคชะตาของตัวละครในเรื่องที่ต้องมาเจอกับเรื่องราวแบบนี้”

ว่าด้วยด้านมืดของโอซองมู

เราจะเห็นด้านมืดของโอ ซองมูได้จากความคิดที่จะฆ่าคังชอลเพราะคิดว่าคังชอลเป็นปีศาจ จนทำให้ตนเองกลายเป็นปีศาจเสียเอง เขาหมกหมุ่นกับความคิดที่ว่าจะฆ่าคังชอลอย่างไรดี ทำให้เขาอยู่ในด้านมืดของตนเองและด้วยสถานการณ์ที่เขาเจอที่ไม่สามารถอธิบายให้ใครฟัง เพราะด้วยทุนเดิมเขาก็เป็นคนติดเหล้าและดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือในสายตาของภรรยาและลูก ส่วนตัวมองว่าเขาอาจแค่โชคร้ายที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เพราะหากคิดตามว่าถ้าเป็นเราเองเจอเหตุการณ์แบบนี้เราก็คงทำทุกวิถีทางเพื่อให้มันจบ แต่อย่างไรก็แล้วตามสุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจที่จะจบชีวิตตนเองเพื่อให้ลูกสาวและคังชอลได้มีชีวิตอยู่ต่อไป

ฉากที่รู้สึกว่าประทับใจที่สุดในเรื่องคือการที่โอ ยอนจูได้ร่างภาพผู้ชายที่เป็นเสปกในฝันของตัวเองลงในกระดาษ จากนั้นเมื่อโอ ซองมูได้เห็นร่างก็นำภาพร่างของนางเอกไปเป็นต้นแบบในการสร้างตัวละครคังชอลขึ้นมา นั่นก็เท่ากับว่านางเอกได้ลงเอยกับคนที่ตรงตามเสปกทุกอย่าง (ฟินแทนโอ ยอนจูเลยในจุด ๆ นี้)

เมื่อดูจบผู้เขียนก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวคือ “หรือว่าจริง ๆ แล้วเราอยู่ในโลกของการ์ตูน” ซึ่งก็รู้สึกว่าน่าขำดีแต่ก็น่าคิดอยู่เช่นกันว่าไม่แน่อาจจะมีใครบางคนกำลังควบคุมการกระทำและชีวิตของเราอยู่ก็เป็นได้

ส่วนตัวแล้วมองว่า W รักข้ามมิติ (2016) เป็นซีรีส์ที่ให้ความประทับใจในเรื่องของการผูกเรื่องและความรักโรแมนติกที่เข้ากันได้ดีในช่วงแรก มีอะไรให้เหนือความคาดหมายและเดาไม่ได้ มีความตื่นเต้นในทุกอีพี ถึงแม้ช่วงท้าย ๆ ถึงตอนจบบทของซีรีส์เหมือนทำให้รีบจบ แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าเป็นซีรีส์ที่มีความสนุกครบเครื่องเรื่องหนึ่ง หากสนใจติดตามชม W รักข้ามมิติ (2016) ก็สามารถติดตามได้ใน Netflix โดยมีจำนวนตอนทั้งหมด 16 ตอน ตอนละ 1 ชั่วโมงค่ะ