DEEP โปรเจกต์ลับ หลับเป็นตาย (2021) Netflix Thai Original Film ที่ดึงดูดผู้ชมด้วยพล็อตแปลกใหม่ด้วยและการที่ต้องไปลุ้นต่อเรื่องราวจะดำเนินไปทางไหน

เรื่องย่อ

เมื่อนักศึกษาแพทย์สี่คน คือ เจน (รับบทโดย ปาณิสรา ริกุลสุรกาน) สาวเพอร์เฟกต์ชั่นนิสต์, วิน (รับบทโดย เค เลิศสิทธิชัย) หนุ่มหล่อผู้ชอบปาร์ตี้, ซิน (รับบทโดย ศุภนารี สุทธวิจิตรวงษ์) อินฟลูเอ็นเซอร์สาว และพีช (รับบทโดย กฤตย์ จีรพัฒนานุวงศ์) เด็กหนุ่มเกมเมอร์ ซึ่งทั้งสี่เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครในการทดลองยาที่มีชื่อว่าโครงการ “DEEP” และจะได้รับเงินหนึ่งแสนบาทเมื่อทำตามเงื่อนไข โดยมีข้อแม้ว่าห้ามหลับเกิน 60 วินาที ไม่อย่างนั้นจะตายทันที! ด้วยความที่เงินล่อตาล่อใจบวกกับธรรมชาติของนักศึกษาทั้งสี่คนที่มีอาการนอนไม่หลับและอดนอนได้อยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะพิชิตเงินแสน แต่เรื่องราวไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้นเมื่อทุกคนพบว่าโครงการนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

รีวิว

หลังจากที่ดูทีเซอร์ก็รออย่างใจจดใจจ่อรอดู DEEP โปรเจกต์ลับ หลับเป็นตาย (2021) เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีพล็อตน่าสนใจ ความสดใหม่ของไอเดียและการหยิบยกเอาปมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและเข้าใจได้มานำเสนอ อีกทั้งยังสร้างและเขียนบทด้วยฝีมือรุ่นใหม่ ทำให้คิดว่าน่าจะมีอะไรให้น่าติดตามและรอชม

ความรู้สึกหลังจากดู DEEP แล้วบอกตามตรงว่าไม่ได้รู้สึกว่าแย่หรือดี มันจะเป็นความรู้สึกที่อยู่ตรงกลางที่งง ๆ สิ่งที่แตกต่างจากหนังเรื่องอื่นคือความรู้สึกที่มันงง ๆ นี่แหละ คือไม่ได้คิดว่าดีหรือไม่ได้เพราะไม่สามารถบอกได้ ในช่วงแรกรู้สึกประทับใจในงานภาพและการนำเสนอไอเดียที่เป็นวิทยาศาสตร์ให้สามารถเข้าใจได้ง่าย แล้วมาเปิดปมของตัวเอกทีละคน ซึ่งปมของแต่ละคนก็เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น ปัญหาเรื่องครอบครัว การบังคับให้ลูกเรียนในสิ่งที่ลูกไม่อยากเรียน ประเด็นเรื่องการฆ่าตัวตาย ช่องว่างระหว่างวัย เป็นต้น การหยิบยกประเด็นที่พบเห็นได้บ่อยในบริบทของสังคมทำให้รู้สึกว่าสามารถเข้าถึงและอินกับตัวละครนั้น ๆ มากขึ้นและรู้สึกประทับใจที่หยิบยกแล้วนำมาเล่าในมุมมองที่ให้แง่คิดและเผยแพร่มุมมองและความคิดของคนเจ็นใหม่ ๆ ให้สังคมได้รับรู้ อย่างน้อยภาพยนตร์เรื่องนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจในสิ่งที่แตกต่าง

ในช่วงกลางจะรู้สึกว่ามีอะไรให้น่าลุ้นขึ้นว่าเรื่องราวจะดำเนินไปในทิศทางไหนซึ่งสามารถเดาได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากดูแล้วไม่คิดอะไร (เหมือนผู้เขียน) ก็จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย ในส่วนของบทสรุปก็สามารถทำได้ดีคือคลายปมแบบไม่มีข้อสงสัย จบแบบ Happy Ending มีทางลงและตอนจบที่ชัดเจนและสมเหตุสมผล ส่วนตัวประทับใจในความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครในเรื่อง หากใครเป็นคนอ่อนไหวอาจได้เสียน้ำตาให้กับตอนจบ

การแสดงของนักแสดงในเรื่องถือว่าทำได้ดี สามารถทำให้ผู้ชมอินไปกับสิ่งที่ตัวละครกำลังรู้สึกและเผชิญอยู่ เรื่องของบทรู้สึกว่ามันไม่พอดี บางส่วนดูน้อยไป บางส่วนดูมากไป และให้ความรู้สึกไม่สุดซักทาง ทั้งประเด็นเรื่องมิตรภาพ ประเด็นระทึกขวัญ และปมต่าง ๆ ของตัวละคร บางครั้งการกระทำของตัวละครทำให้รู้สึกไม่อินและไม่เข้าใจซึ่งอาจเป็นเพราะรู้จักตัวละครนั้น ๆ น้อยเกินไป มีความรู้สึกว่าการเปลี่ยนฉากมันตัดอารมณ์ ทำให้ไม่ค่อยอินในเรื่องของความสัมพันธ์บางความสัมพันธ์ ในเรื่องของเพลงประกอบรู้สึกว่าเพลงประกอบเพราะมากแต่กลิ่นอายของเพลงประกอบกับหนังค่อนข้างขัดใจ บางช่วงที่เพลงประกอบให้ความรู้สึกสบาย ๆ วินเทจหน่อย ๆ เหมือนอารมณ์ไปเที่ยว สุนทรีย์กับชีวิต แต่ด้วยธีมของหนังที่ดูทันสมัยจึงไม่เข้ากัน ในส่วนของบทสรุปของความสัมพันธ์ระหว่างวินกับพ่อทำให้รู้สึกประทับใจไม่น้อยทั้งเรื่องการแสดงและเพลงประกอบ ในส่วนของการดำเนินเรื่องให้ความรู้สึกเนิบ ๆ เมื่อถึงจุดที่น่าจะตื่นเต้นก็ไม่ตื่นเต้น ในภาพรวมรู้สึกว่าเป็นภาพยนตร์ที่กลาง ๆ ไม่ได้ประทับใจแต่ก็ได้ไม่ประทับใจ

(มีสปอยล์)

ส่วนที่ชอบที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นเรื่องของการนำเสนอปัญหาที่ไม่เข้าใจและไม่ลงรอยกันในสังคม เริ่มที่ประเด็นแรกคือ ประเด็นของบรรทัดฐานในการเรียน ที่ภาพยนตร์นำเสนอผ่านตัวละคร “ซิน” อินฟลูเอนเซอร์สาวที่อยากเรียนนิเทศแต่ถูกบังคับให้เรียนหมอเนื่องจากครอบครัวฝั่งพ่อเรียนหมอทั้งตระกูล จนซิน เครียดเพราะเรียนหนัก แถมต้องเรียนในสิ่งที่ไม่อยากเรียนจนต้องกินยานอนหลับ ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติที่ไม่ปกติที่เด็กวัยมัธยมจะเลือกคณะและมหาลัยด้วยเหตุผลที่ว่าทางบ้านต้องการให้เรียน สถานการณ์ในแต่ละครอบครัวก็แตกต่างกันไป บางบ้านอาจเข้มงวด บังคับกันตรง ๆ บางบ้านอาจใช้วิธีกดดัน ซึ่งความจริงแล้วเด็กควรจะเป็นผู้ที่ตัดสินใจเลือกสิ่งที่ตนเองต้องการด้วยตนเองโดยครอบครัวเป็นผู้ให้คำแนะนำและสนับสนุน เป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจว่าไม่ควรบังคับเนื่องจากเป็นพื้นฐานที่คนเราควรได้เลือกเส้นทางของตนเอง

ประเด็นต่อไปเป็นประเด็นในเรื่องความเข้าใจที่คนในสังคมมีต่อการฆ่าตัวตาย  การฆ่าตัวตายมีสาเหตุได้จากหลายกรณี ในกรณีในภาพยนตร์ที่แม่ของวินฆ่าตัวตายและพ่ออธิบายว่า

“เราไม่สามารถช่วยอะไรแม่เขาได้เลย”

อาจมีสาเหตุมาจากแม่ของวินนั้นอาจมีอาการป่วยทางจิตใจและดำดิ่งเกินกว่าที่ใครจะสามารถมาช่วยได้ รวมถึงการพูดปลอบโยนหรือให้กำลังแบบปกติที่เราทำกันก็อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแย่และรู้สึกลบมากกว่าเดิม การที่คนหนึ่งคนจะสามารถฆ่าตัวตายได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ใช่การคิดสั้น กว่าพวกเขากล้าที่จะปลิดชีวิตตัวเองแสดงว่าพวกเขาต้องผ่านความทุกข์และการคิดอย่างหนัก ซึ่งอาจมีการบกพร่องของสารเคมีในสมองเข้ามาร่วมด้วยบวกกับการสะสมปัญหาและความขัดแย้งในจิตใจ เพราะเราไม่รู้ว่าคนคนนั้นจะต้องพบเจอกับเหตุการณ์อะไรมาบ้าง เราจึงไม่ควรตัดสินพวกเขาด้วยประโยคที่ว่า “อย่าคิดสั้น”

วัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่หลายคนไม่อาจลืมได้ เพราะเป็นช่วงวัยที่ความคิดสดใหม่ พร้อมที่จะทำตามสิ่งที่ตนต้องการ อาจยังไม่ถูกสภาพสังคมและความเป็นจริงเบียดทับจนทำให้ต้องทำตามหน้าที่ อย่างไรก็ตามในช่วงวัยนี้ก็แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลและเราไม่สามารถกล่าวโทษสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตได้เลยเพราะไม่มีสิทธิ์เลือกตั้งแต่แรก ในส่วนของปมความขัดแย้งในเรื่องจะเห็นได้จากจูนน้องสาวของเจนที่มุ่งมั่นกับการซ้อมดนตรีจนกลับบ้านดึก ในขณะที่เจนผู้เป็นพี่สาวก็เป็นห่วงน้องแต่กลับใช้คำพูดที่ค่อนข้างใส่อารมณ์ ทำให้น้องเข้าใจในสิ่งที่ต้องการจะสื่อผิดไปและไม่รู้ว่าพี่กำลังเป็นห่วง จึงมีเพียงแต่ความน้อยใจเข้ามาถมทับและพร้อมที่จะทำอะไรก็ได้ที่เจนกล่าวหาทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำ เข้าข่ายการกระทำที่ว่า “ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ” ซึ่งอารมณ์ที่รุนแรงก็เกิดขึ้นได้หลายกรณี เช่น ปมในจิตใจที่มีอยู่แล้วทำให้เมื่อถูกจี้จุดก็ควบคุมอารมณ์ได้ยาก การสร้างความเข้าใจและการพูดคุยอย่างสันติจึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการอยู่ร่วมกันในครอบครัว

ปมของพีชคือการเข้าสังคม ในภาพยนตร์เล่าเพียงว่าพีชชอบเล่มเกมและสิงอยู่ที่หน้าจอทันทีที่ว่างและไม่ค่อยมีเพื่อนในชีวิตจริง แต่ไม่ได้เล่าว่าทำไมพีชถึงไม่ค่อยเข้าสังคม (อาจเป็นไปได้ว่าเป็นเพราะบุคลิกและนิสัยของเขา) และทำไมจึงต้องตามติดและหมกมุ่นกับซินจนเหมือนเป็นสตอล์กเกอร์ (ซึ่งเมื่อถูกจับได้ พีชก็ยอมรับผิดโดยดีและไม่ได้ทำอะไรที่รุนแรง) อาจเป็นไปได้ว่าพีชแค่อยากทำไปเพราะอยากรู้จักและใกล้ชิดกับซินมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ควรไปตามติดชีวิตของใครเพราะนอกจากจะเป็นการละเมิดพื้นที่ส่วนตัวแล้วยังทำให้ผู้อื่นรู้สึกไม่สบายใจจนถึงขึ้นวิตกกังวลได้ ในภาพยนตร์ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องมิตรภาพในตอนใกล้จบโดยจะเห็นได้จากทั้งพีชและซินที่ในตอนแรกปฏิเสธที่จะช่วยเจน ในภายหลังก็เปลี่ยนใจ จึงจะเห็นได้ว่าสิ่งนึงที่คนเราทุกคนต้องการก็คือคนซักคนหรือซักกลุ่มที่สามารถไว้ใจได้และสบายใจเมื่ออยู่ร่วมกัน

ตอนจบที่ประทับใจที่สุดคือฉากที่วินคุยกับพ่อพร้อมกับเพลงประกอบที่เข้ากัน สำหรับฉากนี้เพียงแค่ไม่กี่วินาทีเชื่อว่าทำให้หลายคนสามารถซึ้งและอินไปกับเรื่องราวที่ภาพยนตร์ต้องการจะสื่อได้ โดยส่วนตัวแล้วชอบฉากนี้มากที่สุด ฉากที่ชอบและประทับใจรองลงมาคือฉากปาร์ตี้ที่บ้านพีชเนื่องจากเป็นจากที่ได้เห็นเจนสนุกและเอนจอยไปกับเพื่อน ๆ ซึ่งหากเป็นสถานการณ์ปกติเจนคงไม่มีเวลามาสังสรรค์เนื่องจากต้องอ่านหนังสือและทำงานที่บ้าน อาจเป็นข้อดีอย่างเดียวของโครงการดีพที่ทำให้ทั้งสี่คนได้มาเป็นเพื่อนและเกิดมิตรภาพดี ๆ ขึ้น (ซาบซึ้ง)

ฉากที่รู้สึกขัดใจและรู้สึกว่าจะเป็นฉากฮาของเรื่องคือการโฆษณาซิมการ์ดที่เห็นได้บ่อย ๆ ส่วนตัวแล้วรู้สึกฮากับการขายซิมการ์ดเพราะเป็นการขายแบบตรง ๆ ที่พูดทั้งชื่อและสรรพคุณ (ถ้าจะพูดให้ถูกก็ต้องบอกว่าเป็นข้อมูลซิม) ไม่เหมือนกับการขายแบบอ้อม ๆ เหมือนที่หนังและซีรีส์เรื่องอื่นทำ (อย่างเช่นเรื่อง VINZENZO ที่โฆษณาลูกอมรสกาแฟ Kopiko แบบเนียน ๆ พร้อมคำพูดและสีหน้าที่บ่งบอกว่าสดชื่นจริง ๆ ) ส่วนตัวรู้สึกขัดใจแต่ก็มองว่าฮาดี

ในขณะที่ดูมีหลายครั้งที่แอบจินตนาการว่าอยากให้หนังหันเหไปทางสยองขวัญแนวโรคจิตหรือไปทางจิตวิทยาบวกกับความดราม่าปวดตับเพราะมีเค้าลาง ๆ เช่น ตอนที่ ดร.ฮัน (ปลอม) พูดคำว่า ติ๊กตอก ๆ ในฉากที่จูนน้องสาวของเจนได้เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครกับตอนที่เจนรู้ความลับของอาจารย์ณิชชาที่ใส่ซาวด์สยองขวัญ ไฟติด ๆ ดับ ๆ แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไร ทำให้ต้องผิดหวังไปตามระเบียบเมื่อพบว่าผู้ร้ายแท้จริงในเรื่องดูร้ายแต่ก็ไม่ร้ายจนดูน่ากลัวและเอาชนะไม่ได้ (เหมือนตัวร้ายมีความงง ๆ ในตัวเอง มีกรอบความคิดทางศีลธรรมและตรรกะแบบแปลก ๆ ) ทำให้ตอนดูก็งง ๆ แต่ก็พอเข้าใจได้

สรุป

DEEP โปรเจกต์ลับ หลับเป็นตาย (2021) เป็นภาพยนตร์ที่มีพล็อตที่สดใหม่และน่าติดตาม โดยเรทในการรับชมอยู่ที่เรท 18+ (เนื่องจากมีการใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสม, การใช้สารเสพติดและการฆ่าตัวตาย) ในส่วนของการดำเนินเรื่องราว ถึงแม้บทอาจจะยังไม่สุดในเรื่องของอารมณ์ ความเป็นวิทย์ที่ดูสมเหตุสมผลแต่ก็ยังดูไม่หนักแน่นเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีความน่าสนใจในระดับกลาง ๆ ที่ทุกคนสามารถรับชมได้ในวันว่าง ๆ และเป็นก้าวใหม่ ๆ ในวงการภาพยนตร์ไทยในการผลิตภาพยนตร์ในเชิงวิทยาศาสตร์ออกมา (ส่วนใหญ่หนังไทยไม่ค่อยผลิตภาพยนตร์ในแนวนี้) โดยสามารถรับชมได้ผ่าน Netflix โดยใช้เวลาในการรับชม 1 ชั่วโมง 41 นาที