หลายคนคงเคยได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ เกี่ยวกับคอลลาเจนชนิดแบบชงดื่ม ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีขายกันอย่างแพร่หลายอยู่ทั่วไป โดยมีทั้งที่ถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย มีทั้งที่มีคุณภาพและไม่มีคุณภาพ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะโฆษณากันว่าช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึงสดใส และลดอาการปวดข้อเข่าได้ แม้ว่าที่กล่าวมาจะถูกต้องอยู่ก็ตาม แต่ก็ยังมีคำถามที่ยังคงถกเถียงกันอยู่ในใจว่า เราจำเป็นต้องกินอาหารเสริมประเภทคอลลาเจนจริงหรือ? ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับคอลลาเจนกันอย่างละเอียดก่อนดีกว่า
คอลลาเจนคืออะไร
คอลลาเจนคือโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีมากที่สุดในร่างกาย โดยคิดเป็น 1 ใน 3 ของร่างกาย สามารถพบได้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น กระดูก กระดูกอ่อน ฟัน เนื้อเยื่อต่าง ๆ ผม ขน เล็บ ผิวหนัง กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น มีคุณสมบัติเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย เพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง
โดยร่างกายสามารถสร้างคอลลาเจนขึ้นเองได้ตามธรรมชาติ แต่เมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไปร่างกายของคนเราจะผลิตคอลลาเจนลดลง ทำให้การเชื่อมต่อของเนื้อเยื่อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายลดลง สังเกตได้จากผิวของคุณเริ่มไม่ยืดหยุ่นเต่งตึงกระชับเหมือนแต่ก่อน เริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่น อาจจะเร่ิมมีอาการปวดตามข้อต่อร่วมด้วย เพราะคอลลาเจนในร่างกายลดลงนั่นเอง
นอกจากนี้ปัจจัยภายในและสภาพแวดล้อมภายนอกก็มีส่วนทำให้คอลลาเจนในร่างกายลดลงเช่นกัน อย่างการที่ผิวหนังโดนแสงแดดติดต่อกันเป็นเวลานาน การรับประทานอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูง การสูบบุหรี่ และความเครียด เป็นต้น ซึ่งเราสามารถทดแทนคอลลาเจนที่สูญเสียไปได้จากการรับประทานอาหารที่มีคอลลาเจนสูง อันได้แก่ ไข่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เนื้อปลาจากทะเลน้ำลึก ผักใบเขียว ผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ถั่วและธัญพืช ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นมถั่วเหลือง เต้าหู้ โยเกิร์ต ชีส เป็นต้น

คอลลาเจนส่วนใหญ่ที่พบได้ในร่างกาย แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
คอลลาเจนประเภทที่ 1 เป็นคอลลาเจนชนิดที่พบมากที่สุดในร่างกาย บริเวณผิวหนัง และกระดูก
คอลลาเจนประเภทที่ 2 เป็นคอลลาเจนชนิดที่มีเส้นใยที่หลวมกว่า พบได้ในเส้นเอ็น และกระดูกอ่อน
คอลลาเจนประเภทที่ 3 เป็นคอลลาเจนที่พบได้ในกล้ามเนื้อ ผิวหนัง หลอดเลือดแดง และอวัยวะภายใน
อาหารเสริมคอลลาเจนจำเป็นต้องกินเพิ่มหรือไม่
ในปัจจุบันมีการขายอาหารเสริมคอลลาเจนกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งล้วนโฆษณาสรรพคุณคล้าย ๆ กัน คือ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เต่งตึงสดใสยืดหยุ่นกระชับ แต่ในความเป็นจริงแล้ว จากการศึกษาค้นคว้าวิจัยจากการทดลองพบว่า คอลลาเจนที่เป็นอาหารเสริมนั้นมีส่วนช่วยในเรื่องของผิวพรรณได้เพียง 15% เท่านั้น และต้องรับประทานติดต่อกันอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 2 เดือน จึงจะเห็นผล สำหรับผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของผิวหนัง มักจะมาจากการดูแลตัวเองและปัจจัยภายนอกเสียมากกว่า และการรับประทานคอลลาเจนที่มากเกินไป ก็จะถูกขับออกจากร่างกายอยู่ดี ส่วนประโยชน์ที่เห็นได้ชัดโดยส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวกับข้อต่อและกระดูกเสียมากกว่า
ซึ่งมีการนำคอลลาเจนประเภทที่ 2 มาใช้ในทางการแพทย์สำหรับผู้ที่ปัญหาปวดข้อเข่าเนื่องมาจากน้ำเลี้ยงในกระดูกข้อพร่องหรือเสื่อมลงนั้นเอง โดยคอลลาเจนชนิดนี้สามารถถูกย่อยและดูดซึมผ่านทางลำไส้เข้าไปสะสมในข้อต่อของกระดูกได้ ซึ่งพบว่าผู้ป่วยที่รับประทานคอลลาเจนจะช่วยบรรเทาอาการปวดข้อต่อให้ลดลงได้จริง

เราควรกินคอลลาเจนในปริมาณเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม
แม้ว่าคอลลาเจนจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็ไม่ควรรับประทานมากเกินไป โดยไม่ควรรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจนเกินวันละ 2.5 มิลลิกรัม และไม่ควรรับประทานติดต่อกันนานกว่า 24 สัปดาห์ เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย คลื่นไส้ แสบร้อนกลางอก ปวดศีรษะ ง่วงซึม หรือเกิดอาการแพ้ที่ผิวหนังได้ เป็นต้น ดังนั้นเราจึงควรรับประทานคอลลาเจนชนิดที่เป็นอาหารเสริมแต่พอดี
สำหรับใครที่ต้องการมีผิวพรรณที่เต่งตึงกระชับยืดหยุ่น และไม่ต้องการรับประทานคอลาเจนเสริม วิธีการดูแลตัวเองจะได้ผลที่ดีกว่า อันได้แก่ หลีกเลี่ยงจากการต้องโดนแดดนาน ๆ ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน พกร่มสวมหมวก ใส่แว่นตากันแดด หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูง เช่น ของหวาน น้ำผลไม้ เครื่องดื่มต่าง ๆ ชานมไข่มุก เป็นต้น ไม่ควรสูบบุหรี่หรือสูดดมควันบุหรี่จากผู้อื่น หลีกเลี่ยงมลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่น ควัน และสารเคมี รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หาวิธีจัดการกับความเครียดของตัวเอง เช่น หางานอดิเรกทำ ฟังเพลงเบา ๆ นั่งสมาธิ พักผ่อนนอนหลับ พูดคุยกับคนที่ไว้ใจ เป็นต้น เพียงเท่านี้เราก็จะมีสุขภาพผิว รวมถึงสุขภาพใจและกายที่ดี โดยไม่ต้องพึ่งอาหารเสริมแต่อย่างใด